[DAOMU #dmbjdaily] 235 Days Left : “ซานต้า”

Title : ซานต้า

Pairing : เมินโหยวผิง (จางฉี่หลิง) * อู๋เสีย

Genre : YAOI

——————————————————————————————-

ใครๆ ก็รู้ว่าซานตาครอสกับวันคริสต์มาสเป็นของคู่กัน

แต่ถ้าพูดถึงวิธีชีวิตของพวกเราชาวจีนแล้ว ชาวจีนกับคริสต์มาสไม่ได้เกี่ยวกันสักเท่าไหร่ ยกเว้นสำหรับคนที่นับถือศาสนาคริสต์ ถึงกระนั้นหนุ่มสาวก็ดูตื่นเต้นไปกับมันทุกปี อาจเพราะใกล้ช่วงขึ้นปีใหม่ด้วย

แต่กับพวกโจรขุดสุสานอย่างตระกูลผม เทศกาลนี้นับว่าไม่มีความสำคัญใดๆ พ่อผมไม่เคยสนเทศกาลอื่นๆ นอกจากวันไหว้เจ้า ไหว้บรรพบุรุษของจีน อารองยิ่งไม่ต้องพูดถึง ผมไม่เคยเห็นเขาลุกขึ้นมาจัดต้นคริสมาสต์สักครั้งในชีวิต อาจยกเว้นอาสามสมัยหนุ่มๆ ไว้สักคน ตอนที่เขาคบกับน้าเหวินจิ่น จะคริสมาสต์ หรือวาเลนไทน์ นี่ไม่เคยจะพลาดสักเทศกาล แทบจะฝากตัวเข้าสู่อ้อมกอดพระเยซูให้รู้แล้วรู้รอด ความรักยังทำให้โจรใจหยาบกลายเป็นคนโรแมนติกได้

หรือจริงๆ เทศกาลนี้นับว่าเหมาะกับคนมีคู่มากกว่า สำหรับตัวผมที่อายุสามสิบยังโสด ไร้คนรัก ไม่ได้มีความสำคัญใดๆ นอกจากวันธรรมดาวันหนึ่งที่ลุกขึ้นมาเฝ้าร้านอย่างเซ็งๆ แม้แต่หวังเหมิงยังขอหยุดงานไปเที่ยวกับสาว

แต่สิ่งที่พรวดพราวเข้ามาในร้านตอนเย็นขณะเคลิ้มๆ จะหลับทำเอาผมสะดุ้งตื่นแทบตกจากเก้าอี้ นายอ้วนโผล่เข้ามาในชุดซานตาครอสเต็มยศ ใส่วิกผมสีขาว กับหนวดปลอมยาวๆ เฟิ้มๆ บนใบหน้าเหลือแต่ดวงตาที่ผมมองเห็นได้ ผมต้องกะพริบตามองปริบๆ อยู่สิบวิ จึงจำได้ว่าเป็นเขา ไม่นานนักก็มีใครอีกคนโผล่ตามมาในชุดซานต้าแบบเดียวกัน ทว่าไม่ได้วใส่วิกหรือติดหนวดใดๆ พอเห็นหน้าแว่บแรกผมจึงจำได้ทันทีว่าเขาคือเมินโหยวผิง

สองคนนี้เขาเล่นอะไรกัน

“ไฮ้เทียนเจิน คริสต์มาสทั้งทีทำไมนั่งเงียบเหงาอยู่คนเดียว”

“นายไปทำอะไรมา” ผมตอบเขาด้วยคำถาม ไม่อยากจะฟังคำแซว

นายอ้วนทำหน้าเหมือนสงสารผมมาก “ฉันก็ไปเป็นซานต้ามาน่ะสิ นายไม่รู้จักเหรอ”

“โตจนป่านนี้ใครบ้างไม่รู้จักซานตาครอส” พอแขวะไปอย่างนั้น นายอ้วนทำหน้าซื่อๆ ใช้นิ้วโป้งชี้ไปทางเมินโหยวผิงที่ยืนสงบนิ่ง เล่นเอาผมหุบปากฉับ

“คำพูดนายทำร้ายจิตใจน้องเสี่ยวเกอนะเนี่ย”

“เสี่ยวเกอถือเป็นข้อยกเว้น” ผมแก้ตัวทันที สำหรับคนที่มีความสามารถในการใช้ชีวิตอย่างปกติชนระดับติดลบอย่างเมินโหยวผิงแล้ว ผมไม่ถือสา ต่อให้เขาจะบอกว่าไม่รู้จักวันขึ้นปีใหม่ ผมก็ไม่คิดจะตำหนิหรอก แค่ทุกวันนี้เขาขึ้นมาใช้ชีวิตอยู่บนดินได้ก็นับว่าดีเท่าไหร่แล้ว

นายอ้วนพึมพำออกมาสองคำได้ยินแว่วๆ ว่า “ลำเอียง” ก่อนจะถือวิสาสะเดินเข้าร้านไปชงชาให้ตัวเองดื่ม พอผมถามซ้ำว่าไปทำอะไรกันมา นายอ้วนก็เล่าว่าช่วงนี้เขาอยู่บ้านว่างๆ เซ็งๆ ก็เลยชวนเมินโหยวผิงออกไปเปิดหูเปิดตา รับจ็อบเป็นลุงซานต้าแจกขนมเด็ก ฟังแล้วผมก็รู้สึกแปลกใจว่าคนอย่างนายอ้วนคิดอะไรดีๆ ก็เป็น

“แต่ไม่รู้ทำไม ทั้งสาวน้อยสาวใหญ่เข้าไปขอขนมจากเสี่ยวเกอเต็มเลยล่ะเทียนเจินเอ๋ย กับฉันนี่ไม่เห็นมีกระเด็นมาบ้างสักคน!”

ฟังนายอ้วนระบายความอัดอั้น ผมก็หันไปมองเมินโหยวผิงที่หาที่อยู่ในร้านให้ตัวเองได้แล้ว “เจ้านี่ก็เอาแต่ยืนนิ่งๆ เงียบๆ ไม่สนใจโลกจนฉันต้องลากออกมา เฮ้อ… ทำไมไม่มารุมฉันบ้างนะ ฉันนี่ยิ้มให้จนปากจะฉีกอยู่แล้ว” นึกภาพเมินโหยวผิงยืนทำหน้านิ่งอยู่กลางดงผู้หญิงแล้วรู้สึกน่าสงสารมากกว่าน่าอิจฉา ผมว่าทั้งชีวิตเขาเอาแต่คว่ำกรวย คงคิดหาวิธีต่อกรกับผู้หญิงจำนวนมากไม่ถูกแน่

“แล้ว..นี่งานเสร็จแล้ว?”

นายอ้วนหยุดบ่นแล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้ “เหลืออีกงานนึง” เขามองผมทำหน้าประหลาดใจก่อนเดินตรงไปคว้าแขนเมินโหยวผิง แล้วผลักหลังเขามาทางผมซึ่งยืนมึน

“วันนี้เสี่ยอ้วนเป็นซานต้ามาส่งของขวัญ” ผมมอง ‘ของขวัญ’ ชิ้นใหญ่ตรงหน้าอย่างงุนงง “ซานตาครอสส่วนตัวสำหรับเทียนเจิน จะได้ไม่เหงา ดูแลดีๆ ล่ะ เสี่ยอ้วนมีนัดออกไปกินเหล้ากับเพื่อนเก่า”

“อ้าวเฮ้!!” นายอ้วนไม่รอให้ผมท้วงอะไรก็เดินตัวปลิวออกจากร้านไปอย่างว่องไว หนอยแน่..ตัวเองก็แค่อยากออกไปเที่ยวเตร่เลยพาเสี่ยวเกอมาอยู่บ้านฉันเท่านั้นเอง ซานตาครอสส่วนตงส่วนตัวอะไรกัน

พอผมหันกลับมาก็สบตาเข้ากับเมินโหยวผิงพอดี ผมชะงักไปเล็กน้อย บังเกิดความเงียบขึ้นระหว่างเราชวนให้รู้สึกแปลกๆ มองตากันอยู่ชั่วอึดใจผมเลยเป็นฝ่ายพูดขึ้นเสียเอง

“งาน…เหนื่อยไหม” อะไรทำให้ผมถามแบบนี้ แทนที่จะเป็น ‘นั่งก่อนไหม’ ‘ไปกินข้าวกันไหม’ หรืออะไรก็ได้ รู้ว่าเขาเหนื่อยจากงานแล้วยังไง จะวิ่งไปเอาผ้าเช็ดหน้ามาซับเหงื่อเขางั้นเรอะ

เขาส่ายหน้า “แค่ยืนแจกขนมให้เด็กเฉยๆ”

ผมท้าวเอวมองซานต้าเมินโหยวผิง พอเขาแต่งตัวอย่างนี้แล้วรู้สึกน่าเอ็นดูพิกล บวกกับหน้าตาที่ดีใช้ได้ ทำให้ไม่แปลกใจที่นายอ้วนจะอารมณ์เสีย แต่หมวกซานต้าของเขาดูรัดไปหน่อยผมจึงบอกให้เขาถอดออกได้แล้ว เขากลับถอดออกแล้วเอามาใส่หัวผมแทน

“นี่ๆ ฉันไม่ใช่เด็กนะ” ผมกะพริบตาปริบแล้วประท้วง “ไม่เอาขนมให้ฉันด้วยล่ะ”

แล้วเขาก็ยัดอมยิ้มใส่มือผมหนึ่งอันถ้วน รู้สึกดีใจน้ำตาจะไหล ไม่เชื่อว่าเขาจะไม่รู้ว่าผมประชด แต่ผมเองก็ไม่ได้ประชดอย่างจริงจังอะไร พอได้อมยิ้มมาก็เลยแซวเขากลับแทน

“มิน่าสาวๆ ถึงติดนาย”

“…” เมินโหยวผิงดูไม่มีความเห็นในเรื่องนี้ สักพักก็กล่าว “นายมีอะไรอยากได้ไหม”

ผมออกจะประหลาดใจที่อยู่ๆ เขาถามอย่างนั้น พ่อเรือพ่วงที่วันๆ ไม่คิดสนใจชาวบ้านอยู่ๆ ก็เกิดอยากเอาใจใส่ผมขึ้นมา

“ทำไมนายถามงั้น”

“วันนี้ฉันเป็นซานตาครอสของนาย”

ผมแทบจะเอาอมยิ้มในปากแทงคอตัวเอง “นายอ้วนพูดอะไรนายไม่ต้องจริงจังขนาดนั้นก็ได้” ผมคิดในใจว่าเดี๋ยวนี้เมินโหยวผิงโดนหลอกง่ายขนาดนี้เลยหรือ ปกติเขาออกจะมีสัมผัสพิเศษกว่าใคร ขนาดตอนย่าฮั่วโกหกยังรู้เลย หรืออยู่กับนายอ้วนมากไปจนมันชักจะด้านไปแล้วนะ

ไม่ๆ นี่เมินโหยวผิงเชียวนะ

ผมหยุดความเพ้อเจ้อแล้วหันไปถามเขา “ข้าวเย็นนายอยากกินอะไร วันนี้ฉันไม่ได้ซื้อของเตรียมไว้ซะด้วย คงต้องออกไปกินข้างนอก”

“แล้วแต่นาย”

เขาตอบอย่างนี้ทุกครั้ง แต่ผมก็ยังจะถามเขาทุกครั้ง “งั้นก็ไปกินร้านเดิม… นายเปลี่ยนชุดก่อนไหม เอาชุดมาหรือเปล่า” พอเห็นเมินโหยวผิงส่ายหน้าบอกว่าฝากไว้กับนายอ้วนผมก็อดเซ็งไม่ได้ ถ้าต้องไปกินข้าวกับเขาในชุดซานต้ามันต้องเด่นมากแน่ๆ คิดได้ดังนั้นผมจึงปิดร้านก่อนเวลา พาเมินโหยวผิงไปที่บ้านเพื่อเปลี่ยนชุด แต่พอผมยื่นให้เขากลับส่ายหน้า

“นายหวังบอกว่าซานตาครอสต้องใส่ชุดนี้”

ผมอดหงุดหงิดใจไม่ได้เพราะความหิว “ก็นายเลิกงานแล้วนี่ ออกไปทั้งชุดนี้มันเด่นมาก นายไม่สนแต่ฉันสนนะ”

ซานต้าเมินโหยวผิงกลับจ้องผมเขม็งด้วยแววตาจริงจัง “วันนี้ฉันเป็นซานตาครอสของนาย” เขาเดินเข้ามาใกล้ผมจนชิด ทำเอาผมต้องเงยหน้ามองคนสูงกว่าพลางกลืนน้ำลายอึกใหญ่เพราะทำตัวไม่ถูก แล้วเขาก็ยืนเงียบจ้องผมอยู่อย่างนั้น ปล่อยให้สมองผมประมวลผลความหมายในคำพูดของเขาออกมาเอง

เขาให้ความสำคัญกับชุดนั่นมาก และจะถอดออกก็ต่อเมื่อผ่านพ้นวันนี้ไปเท่านั้น เพราะวันนี้เขาตั้งใจเป็น “ซานตาครอสของผม” เอง พอคิดอย่างนั้นผมก็หน้าแดงขึ้นมา “โอเค…แต่เราก็ต้องกินข้าว แต่นายไม่ยอมถอด งั้นสั่งให้เขามาส่งก็ได้”

พอผมโทรสั่งอาหารเสร็จ เขาก็ยังถามผมว่ามีอะไรที่อยากได้บ้างไหม “ถ้าบอกว่าเงินสิบล้าน?”

“…” เขามองผมด้วยสายตาเย็นชา ผมจึงเลิกกวนทันที  “เอางี้ คุณซานตาครอสอยากให้อะไรผมล่ะครับ อย่างนั้นง่ายกว่า”

ท่าทีของเขาเปลี่ยนเป็นสนใจขึ้นมา “ของที่ฉันอยากให้?”

พอเขาใช้ความคิดผมก็รู้สึกว่าข้อเสนอตัวเองชักจะยากเกินไป ทุกวันนี้นอกจากปัจจัยสี่ เมินโหยวผิงก็แทบไม่มีความต้องการใดๆ เขาไม่มีงานอดิเรก ไม่มีของที่ชอบ ไม่มีของที่อยากได้ให้ตัวเอง ให้คิดถึงสิ่งที่อยากจะให้คนอื่นต้องเป็นโจทย์ยากมากแน่ ผมจึงยืนรอ เขาควรจะมีเรื่องที่ต้องการเป็นของตัวเองบ้าง

ผ่านไปชั่วบุหรี่ครึ่งม้วนยังไม่มีคำตอบออกจากปาก เสียงกริ่งหน้าบ้านก็ดังขึ้นพอดี คิดว่าอาหารคงจะมาส่งแล้ว ผมขยับตัวจะลงไปข้างล่าง แต่ขณะนั้นเองคนที่เงียบมาตลอดก็ใช้สองมือมาประคองใบหน้าของผมไว้ก่อนจะโน้มตัวลงมาประทับริมฝีปากอย่างรวดเร็ว

ผมยืนนิ่งเป็นหินอย่างไร้สติมองเขาผละตัวออก ก่อนจะโน้มใบหน้าลงมาอีกครั้ง คราวนี้หนักหน่วงกว่าเดิม เขาส่งปลายลิ้นดันริมฝีปากของผมให้เผยอออก วินาทีที่ลิ้นร้อนเข้ามาในโพรงปากทำเอาผมเข่าอ่อน ถ้าไม่ใช่เพราะเขาประคองไว้ทันคงลงล้มไปอยู่บนพื้นแน่

เรี่ยวแรงทั้งหมดเหมือนโดนเขาสูบไป สักพักผมก็เริ่มขาดอากาศสติจึงกลับมา ลิ้นในปากยังเกี่ยวกระหวัดกันไม่หยุดจนผมต้องส่งเสียงประท้วงในคอ เมินโหยวผิงละริมฝีปากออกโดยดี มองผมสูดหายใจเข้าปอดด้วยใบหน้านิ่งเป็นรูปปั้นของเขาทำเอาอดหมั่นไส้ไม่ได้

บ้าฉิบ…! ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าผมหน้าแดงไปถึงไหนต่อไหน ไม่เคยรู้เลยว่าคนๆ นี้จะกล้าทำอะไรอย่างนี้ด้วย!

“นี่คำตอบงั้นเหรอ นายไม่มีอย่างอื่นจะให้แล้วหรือไง” ผมอดวีนไม่ได้ ขืนตัวออกจากวงแขนของเขาที่ไม่รู้เข้าไปอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ เมินโหยวผิงคนที่ทำให้ผมรู้สึกปลอดภัยเวลาลงกรวย ตอนนี้เหมือนเป็นคนอันตรายที่สุดเมื่ออยู่ในห้อง

“มี” เขากล่าว พลางมองผมด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก “เวลาทั้งคืนของฉัน”

เดี๋ยว!!!!!! เฮ้!!! ใครสอนให้นายพูดอะไรแบบนี้

หลังจากนั้นกริ่งหน้าบ้านก็ดังขึ้นอีกครั้ง ผมผลักเขาแล้ววิ่งออกจากห้องพรวดเดียวไปถึงประตูหน้าบ้าน แต่ดันลืมหยิบกระเป๋าตังค์ก็เลยต้องวิ่งกลับขึ้นมาข้างบนอีกรอบแล้วหายลงไปจ่ายตังค์ ไม่แม้แต่มองหน้าอีกคนที่อยู่ในห้อง

แต่สงสัยคืนนี้ต้องได้มองจนเบื่อแหงๆ

.

.

.

——————————————————————————————-

มันเลททททท ฮ่าๆๆๆๆ

แต่ก็อยากลง

Leave a comment