[A/Z ShortFic] Show me your smile : Solution 1 Birthday [Inaho x Slaine]

Title : Show me your smile : Solution 1 Birthday

Background : Aldnoah Gakuen

Fandom : Aldnoah.Zero

Pairing : Kaitsuka Inaho x Slaine Troyard

Rating : PG

 

——————————————————————

 

“วันเกิดเหรอ” อินาโฮะทวนคำใส่อัสเซลัม อิงโกะ และนีน่า ทั้งสามคนยิ้มๆ พยักหน้าตอบอย่างกระตือรือร้น ด้านหลังมีไรเอย์ยืนกอดอกมองความเป็นไปอยู่ห่างๆ กับคาล์มและโอโคโจ

 

“ของสเลน?” เขาถามอีก

 

“ใช่แล้วค่ะ พวกเราเลยกำลังคิดว่าจะแอบเซอร์ไพร์สวันเกิดให้สเลนกัน” เด็กสาวผมยาวสีทองสลวยอธิบาย

 

“ก็สเลนคุงย้ายมาอยู่ที่นี่เป็นปีแรกด้วยนี่นา จะได้ถือเป็นการฉลองเพื่อนใหม่ไปเลยไง!” อิงโกะรับลูกต่ออีก ดวงตาเปล่งประกายเต็มไปด้วยแผนการหลากหลายในหัว

 

“อันที่จริงไม่เห็นมีความจำเป็นจะต้องทำขนาดนั้นเลยนะคะ” เอเดลริซโซ่ออกความเห็นอย่างฉุนๆ เพราะองค์หญิงคนสำคัญกำลังให้ความสนใจกับใครที่ไหนก็ไม่รู้ อัสเซลัมไม่ได้ว่าอะไรเด็กสาว เธอหันกลับมาหาอินาโฮะ

 

“ก็เลยอยากจะขอยืมสถานที่เป็นบ้านของคุณอินาโฮะน่ะค่ะ”

 

“เห…” เขาลากเสียงยาวอย่างครุ่นคิด ใช้นัยน์ตาสีแดงมองเด็กสาวตรงหน้า แอบเห็นด้วยกับเอเดลริซโซ่ว่าไม่เห็นต้องทำอะไรให้วุ่นวาย

 

เพราะแค่อัสเซลัมเดินไปบอกสุขสันต์วันเกิดแล้วยิ้มหวานให้ หมอนั่นคงมีความสุขไปทั้งวันแล้ว

 

ถึงอย่างนั้นอินาโฮะก็ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ สเลนเป็นเพื่อนร่วมชั้นที่ย้ายเข้ามาใหม่ นั่งข้างกัน สนิทชิดเชื้อในระดับที่ตีฝีปากกันทุกวัน และก็เข้ากับเพื่อนๆ ของเขาได้ดี

 

สำหรับอินาโฮะ เขายังไงก็ได้อยู่แล้วจึงตอบตกลงไป จากนั้นทั้งหมดจึงจับกลุ่มกันวางแผนว่าจะจัดงานให้สเลนวันเสาร์นี้

 

“งั้นวันเสาร์ตอนเช้าพวกเราไปซื้อของกันก่อนแล้วกัน” อิงโกะสรุป “เราจะทำอะไรกันดี”

 

“กินเค้ก ๆ” นีน่าเสนออย่างกระตือรือร้น แน่นอนว่าวันเกิดจะขาดเค้กไปไม่ได้

 

“ของหวานโอเค ของคาวล่ะว่าไงดี” อิงโกะหันไปถามอินาโฮะ “พอจะรู้มั้ยว่าสเลนคุงชอบกินอะไร”

 

ของอย่างนั้นเขาจะไปรู้ได้ยังไง… เด็กหนุ่มคิดในใจ ต่อให้อยากรู้ก็ไม่แน่ว่าสเลนจะบอกเขาหรอก

 

“เห็นสเลนเคยบอกว่าชอบทานแซนวิชนะคะ” คนตอบคืออัสเซลัม อินาโฮะเหลือบมองเด็กสาว ฝั่งอิงโกะได้ยินก็ทำสีหน้าประหลาดเพราะรู้สึกว่าเป็นโจทย์ที่ง่ายเกินไป

 

“แซนวิชเหรอ ธรรมดากว่าที่คิดแฮะ”

 

“ก็จริงนะคะ” อัสเซลัมหัวเราะเล็กน้อยก่อนจะขยายความ “แต่ที่สเลนชอบแซนวิชก็เพราะเป็นอาหารอย่างเดียวที่คุณพ่อทำให้ทานได้เพราะมีเวลาอยู่ด้วยกันน้อยน่ะค่ะ”

 

“อ้อ…” อิงโกะรับคำ ที่แท้ไม่ได้ชอบเพราะอร่อยแต่ชอบเพราะมีคุณค่าทางจิตใจนี่เอง ถ้าอย่างนั้นก็ไม่จำเป็นต้องไปยึดติด เพราะสเลนจะกินแซนวิชของใครก็คงไม่มีความสุขเท่ากับฝีมือคุณพ่อเจ้าตัวหรอก คิดเสร็จก็เสนออย่างอื่น “งั้นเราทำอะไรพิเศษหน่อยดีกว่า”

 

“หม้อไฟ ๆ ฉันอยากกินเนื้อ” โอโคโจยกมือเสนอ แววตาเป็นประกาย

 

“ไม่ได้ทำเลี้ยงนายซะหน่อย” ไรเอย์ท้วง มองด้วยสายตาเหนื่อยหน่าย

 

“แต่หม้อไฟก็ทำง่ายดีนะ คนไม่มีฝีมือทำอาหารอย่างพวกเธอก็ทำได้” คาล์มเห็นดีเห็นงาม แต่ประโยคหลังทำให้สาว ๆ ถึงกับหันขวับไปเอาเรื่อง

 

“พูดให้มันดี ๆ นะยะ” อิงโกะแว้ด “สรุปหม้อไฟนะ อินาโฮะที่บ้านนายมีหม้อไฟฟ้าใช่มั้ย”

 

“มี”

 

“ว่าแต่จะชวนสเลนยังไงดีล่ะ” นีน่าถาม

 

“อีกอย่างวันเสาร์นี้สเลนว่างหรือเปล่า” คาล์มนึกขึ้นได้

 

“…” ทุกคนพากันเงียบ ลืมคิดไปเลย!

 

“อรุณสวัสดิ์ครับ” เสียงของคนที่ตกเป็นหัวข้อการสนทนาดังขึ้น ร่างสูงโปร่งของสเลน ทรอยยาร์ดเดินสะพายกระเป๋าตรงมาด้วยรอยยิ้ม แปลกใจเล็กน้อยที่เห็นทุกคนรุมอยู่ที่โต๊ะอินาโฮะแต่เช้า “คุยเรื่องอะไรกันอยู่เหรอครับ”

 

“…”

 

“…” พอไม่มีใครตอบสเลนก็รู้สึกเก้อไปเล็กน้อย เหมือนตัวเองทำอะไรผิดไปสักอย่าง สีหน้าจึงเปลี่ยนเป็นกังวล “ผมมาขัดจังหวะอะไรหรือเปล่าครับ?”

 

ทุกคนหันมามองหน้ากันแล้วแย่งตอบเหมือนเพิ่งนึกได้ว่าทำตัวมีพิรุธ

 

“เปล่า ๆๆ ไม่ได้ขัดจ้า” นีน่าโบกมือไม้เป็นพัลวัน

 

“แค่คุยกันเรื่องทั่วไปน่ะค่ะ” อัสเซลัมยิ้มตอบอย่างไม่ติดขัด แสร้งยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู “ตายจริงเอเดลริซโซ่ กลับห้องกันเถอะ ใกล้จะเริ่มเรียนแล้ว”

 

“ค่ะ” เด็กน้อยเอเดลริซโซ่รับคำอย่างว่าง่าย สีหน้าลิงโลดอยากออกจากตรงนี้เต็มทีแล้ว

 

คล้อยหลังอัสเซลัมและเอเดลริซโซ่จากไปทุกคนก็แยกย้ายราวกับกำลังหนีความผิด สเลนยืนกะพริบตาปริบ ๆ ไม่เข้าใจนัก เลยหันมามองอินาโฮะที่ยังนั่งอยู่ที่โต๊ะแทน

 

“…” ฝ่ายนี้ก็เงียบอย่างกับป่าช้า แต่นัยน์ตาสีแดงกลับมองจ้องเขม็งมาที่เขาด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก ทำเอาสเลนฉุนกึก คร้านจะใส่ใจ จึงทิ้งตัวนั่งประจำที่แล้วไม่เหลือบไปมองอีกเลย

 

.

.

.

 

สเลนรู้สึกแปลก ๆ

 

พวกอิงโกะก็ดูแปลก ๆ แต่สเลนไม่รู้ว่ามันแปลกตรงไหน เพื่อน ๆ ยังพูดคุยกับเขา หัวเราะหยอกล้อกันเป็นปกติ ตอนกลางวันก็ไปทานข้าวด้วยกัน แต่สเลนก็ยังไม่สบายใจจากเหตุการณ์เมื่อเช้า แม้ไม่มีใครพูดถึง แต่เขายังติดใจไม่คลาย กลัวว่าตัวเองจะทำอะไรพลาดไป วันนี้สมองของเขาจึงตึงเครียดมากจนทำให้รู้สึกเหนื่อยล้า

 

“เป็นอะไร”

 

เขาชะงักเพราะคำถามจากคนข้าง ๆ เวลานี้เป็นคาบเรียนภาษาอังกฤษ อาจารย์ให้จับคู่กันเขียนเรียงความเกี่ยวกับหนังสือที่อยากจะแนะนำให้เพื่อนอ่าน เขาได้คู่กับอินาโฮะจึงต้องขยับเอาโต๊ะมาชิดกันอย่างช่วยไม่ได้ ตอนนี้รู้สึกปวดหัวหน่อย ๆ จนเผลอเอานิ้วนวดขมับ หมอนี่สังเกตเห็นถึงได้ถาม

 

“เปล่า” สเลนส่ายหน้า

 

“วันนี้นายดูกังวลนะ” อินาโฮะทัก

 

“ไม่มีอะไรให้กังวลนอกจากภาษาอังกฤษของคุณแล้วล่ะ” เด็กหนุ่มผมบลอนด์กลบเกลื่อน เขาเอายางลบลบไวยกรณ์ที่อินาโฮะเรียงผิดเรียงถูกอย่างเหนื่อยใจแล้วแก้เสียใหม่ คนเราต่อให้เป็นอัจฉริยะยังไงก็ต้องมีจุดอ่อนกันบ้าง

 

“คณิตศาสตร์ของนายก็น่ากังวลเหมือนกัน”

 

“…” ไม่มีอะไรจะเถียง สเลนจึงเลือกที่จะเงียบ เขาอ่อนคณิตศาสตร์มากจริง ๆ จนบางครั้งต้องให้อินาโฮะช่วยติวหลังเลิกเรียนด้วยซ้ำ

 

“ที่จริงเราก็เข้ากันดี” เสียงของอีกฝ่ายแผ่วเบาราวกระซิบ สเลนหันไปหาทันควัน อินาโฮะจึงเฉลย “เติมเต็มส่วนที่ขาดให้กันไง”

 

ต้องเก่งกล้าขนาดไหนถึงได้พูดจาน่าอายออกมาหน้าตาเฉย คนฟังทำหน้าปั้นยาก แทบจะยกธงขาวยอมแพ้เลย ปากเถียงกลับ

 

“ไม่เห็นจะเข้ากันเลย” เด็กหนุ่มผมบลอนด์ปฏิเสธหัวชนฝา แต่แทนที่จะหงุดหงิดเขากลับรู้สึกสบายใจขึ้น

 

ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่เขาก็มีเรื่องให้เถียงกับอินาโฮะตลอดอย่างน้อยวันละหนึ่งครั้ง ตอนแรกเป็นเรื่องน่ารำคาญมาก แต่วันนี้กลับทำให้ใจชื้นอย่างบอกไม่ถูก เพราะแม้จะรู้สึกได้ว่าคนรอบข้างทำตัวแปลกไป แต่อินาโฮะยังให้ความรู้สึกเหมือนเดิม ซึ่งสเลนพอใจกับเรื่องนี้มากด้วย

 

“วันเสาร์นี้นายว่างหรือเปล่า” หลังส่งงานเสร็จอีกฝ่ายก็ถามขึ้นมา

 

“ก็ไม่มีโปรแกรมอะไรนะ ทำไมเหรอครับ” สเลนย้ายโต๊ะกลับที่เสร็จเรียบร้อย จากนั้นก็เก็บกระเป๋าเตรียมตัวกลับบ้าน

 

“จะชวนไปข้างนอกด้วยกันหน่อย”

 

“ไปที่ไหนเหรอครับ”

 

“ยังไม่ได้คิดน่ะ”

 

“…” สเลนมุ่นหัวคิ้ว ไอ้หมอนี่ตอบตรงเกินไปไหม “แล้วมีใครไปบ้างครับ”

 

“แค่ผมกับนายนี่แหละ”

 

“แล้วคนอื่น ๆ ล่ะ”

 

“คนอื่นไม่ว่าง”

 

คนฟังเลิกคิ้ว “อ้อ คุณเหงาสินะ ไม่มีเพื่อนก็เลยมาชวนผม”

 

อินาโฮะไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ เขาบอกสเลนไม่ได้หรอกว่าทุกคนกำลังเตรียมงานวันเกิดให้ใครบางคนอยู่ แต่ก็ไม่ชอบโกหกด้วย จึงปล่อยให้สเลนเข้าใจไปอย่างนั้น

 

“ตกลงจะไปหรือเปล่า”

 

สเลนทำหน้าครุ่นคิด เอาลิ้นดันกระพุ้งแก้ม คิดถึงโปรแกรมวันเสาร์นี้ซึ่งว่างมากจริง ๆ คุณพ่อก็ไม่อยู่บ้านด้วยเพราะติดเข้าเวร ก็เลยฉลองวันเกิดให้กับเขาไปเมื่อหลายวันก่อน วันเกิดปีนี้เขาจึงอยู่บ้านเพียงลำพัง แต่ถึงกระนั้นก็ไม่อยากออกไปไหนเท่าไหร่ ยิ่งกับอินาโฮะด้วยแล้วจะอารมณ์เสียเปล่า ๆ เพราะต้องเถียงกันแน่ ๆ

 

“ไม่ดีกว่า”

 

“ไปด้วยกันหน่อย” อินาโฮะแทบจะใช้ประโยคคำสั่ง

 

“เอ๊ะ คุณนี่กวนประสาทนะ”

 

“ไปดูหนังแล้วกัน เจอกันสิบโมง ที่… โอเคนะ”

 

คนพูดสะพายกระเป๋าออกไปแล้ว ส่วนเขามองตามแล้วได้แต่ด่าไล่หลัง

 

หมอนี่ไม่น่าคบเลย!

 

.

.

.

 

บริภาษไปอย่างนั้นแต่สเลนก็ไปตามนัดอยู่ดี ตอนแรกเขาคิดจะแกล้งให้อินาโฮะรอเก้อซะให้เข็ด แต่คิดอีกทีอินาโฮะเป็นเพื่อนร่วมห้อง เป็นเพื่อนของพวกอิงโกะ บางทีก็มาช่วยเขาติวคณิตศาสตร์ ถึงจะกวนประสาทแต่จริง ๆ ก็ดีกับเขาเหมือนกัน ทำแบบนั้นมันดูไม่มีจิตสำนึกเขาก็เลยแกล้งไม่ลง

 

อินาโฮะมาถึงก่อนแล้ว เด็กหนุ่มชาวญี่ปุ่นวันนี้แต่งตัวด้วยเชิ้ตสีเหลืองไข่ไก่ทับเสื้อยืดลายทางข้างใน กับกางเกงยีนส์สีเข้มและรองเท้าผ้าใบ สเลนไม่เคยเห็นอินาโฮะในลุคนี้จึงรู้สึกแปลกตานิดหน่อย ส่วนอินาโฮะก็มองสำรวจสเลนในชุดเสื้อฮู้ดสีฟ้าอ่อนกับเสื้อยืดสีขาวลายกราฟิก กางเกงดำพอดีตัวกับรองเท้าผ้าใบด้วยสีหน้าเรียบเฉยแต่มีประกายราง ๆ ในดวงตา

 

“มะ…มองทำไมครับ” สเลนถามตัวเกร็ง

 

ตั้งแต่ย้ายโรงเรียนมาสเลนยังไม่เคยไปเที่ยวกับเพื่อนในวันหยุดเลย เรียกได้ว่าครั้งนี้เป็นการเที่ยวกับเพื่อนครั้งแรกแม้จะเป็นคนที่ไม่ค่อยถูกกันก็เถอะ เขาจึงอดเกร็งไม่ได้ อินาโฮะเองก็เห็นความประหม่าของสเลนชัดเจน

 

“แบบนี้มันเหมือน…”

 

คิ้วสีอ่อนเลิกขึ้น “เหมือน…?”

 

“คู่เดท”

 

ใบหน้าสีขาวของคนฟังเปลี่ยนเป็นเข้มขึ้น คิ้วขมวดเข้าแล้วโต้อย่างอารมณ์เสีย “ไม่เหมือนสักนิด! คุณไม่มีอะไรดีกว่านี้ให้พูดหรือไง คนอุตส่าห์มาเป็นเพื่อนแท้ ๆ” ท้ายประโยคสเลนพึมพำกับตัวเอง

 

“ไปดูรอบหนังกันเถอะ” อินาโฮะตัดบทแล้วเดินนำไป สเลนทำหน้ามุ่ยแล้วเดินตามจึงไม่เห็นร่องรอยความพอใจในแววตาของเด็กหนุ่มอีกคน อินาโฮะเดินนำไปได้ไม่กี่ก้าวก็หยุดแล้วหันไปมองคนข้างหลัง

 

สเลนเห็นอีกฝ่ายยืนนิ่งก็รู้ว่าหมายถึงอะไร จึงรีบสับเท้าขึ้นไปยืนข้าง ๆ แล้วเดินไปด้วยกันเพื่อจะมายืนหน้าซีดอยู่หน้าโปรแกรมหนังเพราะอินาโฮะดันเลือกดูหนังสยองขวัญ

 

“คุณชอบดูหนังแบบนี้เหรอ” สเลนขมวดคิ้วถาม

 

อินาโฮะมีหรือจะไม่สังเกตว่าสีหน้าของคนข้างตัวเป็นอย่างไร “กลัวเหรอ”

 

คำถามนี้เหมือนไปกระตุกต่อมอะไรสักอย่างเข้า สเลนหน้าบึ้งแล้วตอบกลับ “เปล่า! ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย จะดูก็ดูสิครับ”

 

“แล้วนายชอบดูหนังแบบไหน”

 

“ก็…ผมชอบพวกหนังแฟนตาซี เทพนิยาย เวทมนตร์อะไรแบบนั้น”

 

“หืม…” อินาโฮะครางรับในลำคอ สายตาไล่มองโปรแกรมก่อนจะมาหยุดลงที่หนังแฟนตาซีเรื่องหนึ่งแล้วชี้ “นายอยากดูนี่?”

 

ดวงตาของเด็กหนุ่มลูกครึ่งดูมีประกายระยิบระยับออกมา ถ้าให้เขาเลือกระหว่างหนังสยองขวัญกับแฟนตาซี เขาต้องเลือกอย่างหลังอยู่แล้ว แต่คิดอีกที อินาโฮะเป็นฝ่ายชวนเขามาแสดงว่าเจ้าตัวคงมีเรื่องที่อยากดูเหมือนกัน ด้วยนิสัยขี้เกรงใจสเลนจึงเก็บอาการ

 

“เอาที่คุณอยากดูเถอะครับ ผมดูอะไรก็ได้”

 

“อ้อ… งั้นผมไปซื้อตั๋วล่ะนะ” อินาโฮะว่าแล้วเดินไปยังเค้าท์เตอร์ขายตั๋วโดยไม่สนใจสีหน้าของอีกคนที่เจื่อนแล้วเจื่อนอีก

 

สเลนเกาหัวตัวเองจนยุ่งแล้วถอนหายใจ เอาวะ ถ้ามันน่ากลัวมากหลับตาซะก็จบเรื่อง จำไว้ว่าถ้าอินาโฮะชวนมาดูหนังอีกเขาจะไม่มาด้วยแน่!

 

ผ่านไปสักพักอินาโฮะก็เดินกลับมา พวกเขาหารค่าตั๋วหนังกันก่อนจะไปเดินหาอะไรกินก่อนเข้าโรงด้วยการเลือกกินอาหารง่าย ๆ อย่างเบอร์เกอร์ บนโต๊ะมีแต่ความเงียบ ปกติเวลาไปทานข้าวกันพวกอิงโกะจะคอยสรรหาเรื่องมาคุย มีถกเถียงกันบ้างทำให้ทั้งโต๊ะครื้นเครง แต่ตอนนี้เขาอยู่กับอินาโฮะแค่สองคน อีกฝ่ายพูดน้อยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว สเลนจึงรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย

 

“ว่าแต่พวกคนอื่น ๆ ไปทำอะไรกันเหรอครับ” เด็กหนุ่มผมบลอนด์ตัดสินใจทำลายความเงียบ

 

“อืม พวกนั้นต้องไปซื้อของทำงานน่ะ” อินาโฮะตอบแล้วชำเลืองมองโทรศัพท์

 

“อ๋อ… งานกลุ่มเหรอครับ ผมจำไม่ได้นะว่ามี” สเลนนึกสงสัย “หรือผมตกหล่นอะไรไป?”

 

“ไม่หรอก พวกนั้นแค่อยากทำกันเอง”

 

“อ้อ โปรเจคส่วนตัวนี่เอง” สเลนเข้าใจอย่างนั้น “แล้วคุณไม่ไปช่วยพวกเขาเหรอครับ”

 

“ผมช่วยในส่วนของตัวเองอยู่น่ะ”

 

อินาโฮะไม่ได้ขยายความอะไรเพิ่มเติมแม้จะสังเกตได้ว่าอีกคนดูสงสัยอยู่ไม่น้อยเพียงแต่เกรงใจจนไม่กล้าถาม นิสัยของสเลนคาดเดาง่ายมากราวกับโจทย์คณิตศาสตร์ชั้นประถม แต่โจทย์ข้อเดียวที่อินาโฮะแก้ไม่ตกเสียทีคือรอยยิ้มของเจ้าตัว

 

หลังทานมื้อเที่ยงเสร็จพวกเขาก็เดินเข้าโรงหนัง สเลนนิ่งไปตอนที่เห็นตั๋วในมืออินาโฮะ จวบจนเดินเข้ามานั่งประจำที่ในโรงแล้ว นัยน์ตาสีฟ้าน้ำทะเลก็ยังมองหน้าเขาอย่างกังขาไม่วาง

 

“ผมนึกว่าคุณจะดูหนังผี…”

 

ทั้งที่อยู่ในความมืด แต่อินาโฮะกลับรู้สึกว่าดวงตาของสเลนส่องสว่างมากเห็นได้ชัดว่าดีใจและโล่งใจขนาดไหนที่ไม่ต้องทนดูหนังสยองขวัญ เขาเลือกจะไม่ตอบก็ได้ แต่เมื่อเห็นสีหน้าเหมือนเด็กได้ของถูกใจของอีกฝ่ายสุดท้ายก็ตอบออกไป

 

“ใจดีกับนายวันนึง”

 

“หา…” แทนที่จะดีใจคนฟังดันขมวดคิ้ว สายตาเปลี่ยนเป็นมองอย่างไม่ไว้ใจแทน “พูดอะไรน่ะ ขนลุกชะมัด”

 

อืม… ปฏิกิริยาไม่ต่างจากที่คาดไว้ อินาโฮะไม่แปลกใจเท่าไหร่ สเลนเป็นแบบนี้กับเขาเสมอ แต่เบื้องหลังคำพูดไม่รักษาน้ำใจนั้น เด็กหนุ่มสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายอารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อย

 

ผ่านไปสองชั่วโมงครึ่งทั้งคู่ก็ออกมาจากโรงหนัง อินาโฮะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็คระหว่างรอสเลนเข้าห้องน้ำและเก็บใส่กระเป๋าตอนที่สเลนเดินออกมาด้วยสีหน้าแจ่มใส หยัดร่างขึ้นจากกำแพงที่ยืนพิงอยู่เมื่อครู่

 

“คุณจะไปไหนต่อหรือเปล่า” สเลนถาม ด้วยความที่วันนี้ได้ดูหนังที่ชอบก็เลยกระตือรือร้นอยากสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับอินาโฮะขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อพบว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนเลวร้าย ตอนนี้ท่าทีของเด็กหนุ่มจึงค่อนข้างเป็นมิตร

 

ที่จริงตอนนี้อินาโฮะอยากจะกลับบ้านใจจะขาด เขาเป็นคนติดบ้าน ไม่ค่อยชอบเที่ยว สถานที่เขาเที่ยวบ่อยสุดคงเป็นซุปเปอร์มาร์เก็ตแถวบ้านจึงไม่รู้เหมือนกันว่าจะไปไหนดี แต่ภารกิจของเขาที่อิงโกะมอบหมายให้คือพาสเลนออกมาเที่ยวแล้วชวนไปที่บ้านในตอนเย็น หลังจากเช็คข้อความอยู่หลายรอบพบว่าพวกนั้นยังจัดงานกันไม่เสร็จ ดังนั้นเขาจึงยังกลับบ้านไม่ได้

 

อินาโฮะไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมพวกอิงโกะต้องมอบหมายหน้าที่นี้ให้กับเขาด้วย แต่ตอนที่ถามอิงโกะตอบกลับมาว่า “ก็เห็นพวกนายสนิทกันดีนี่”

 

เขาไม่รู้จริง ๆ ว่าอะไรทำให้เธอคิดอย่างนั้น

 

“นายล่ะ” อินาโฮะถามกลับ

 

“ผมเหรอ?” สเลนกะพริบตาปริบ ๆ “อืม ที่จริงก็ไม่มีเป็นพิเศษ แต่ว่าไปร้านหนังสือก็ดี”

 

“งั้นก็ไปร้านหนังสือ” พูดจบอินาโฮะก็เดินนำไปอย่างไร้ข้อโต้แย้ง

 

สเลนสับเท้าขึ้นมาเดินข้าง ๆ สังเกตสีหน้าของอีกคนซึ่งเขาไม่เคยมองออกเลยสักครั้ง “วันนี้คุณแปลก ๆ นะ ตามใจผมเกินไปหรือเปล่า”

 

“ใจดีกับนายวันนึงไง” อินาโฮะว่า

 

“…” คนฟังทำสีหน้าปั้นยากเมื่อมันเป็นคำตอบเดียวกับตอนที่ได้ยินในโรงหนัง “อะไรล่ะนั่น”

 

เขาว่าคนเรายิ่งได้รู้จักใครนานวันจะยิ่งรู้ซึ้งถึงธาตุแท้เขามากขึ้น แต่คนข้าง ๆ นี้ได้ลบล้างทฤษฎีที่ว่าไปหมด ยิ่งอยู่ด้วยเขายิ่งไม่เข้าใจมากขึ้นเรื่อย ๆ

 

แต่แล้วสเลนก็ขมวดคิ้ว “ความหมายของคุณคือใจดีกับผมวันนี้ หมายความว่าวันอื่นจะไม่ใจดีด้วยแล้วเหรอครับ”

 

ฝีเท้าของอินาโฮะหยุดกึก ก่อนเหลียวมอง “ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น”

 

“แต่คุณพูดเหมือนเป็นข้อแม้อะไรสักอย่าง หลังจากนี้คิดจะทำอะไรกับผมใช่มั้ยครับ”

 

ดวงตาสีแดงของอินาโฮะสบตากับสเลนที่กำลังมองมาอย่างคาดคั้นเอาคำตอบ นิสัยของสเลนจะบอกว่าหัวอ่อนก็ใช่ แต่บทจะหัวแข็งขึ้นมาก็เอาเรื่องอยู่เหมือนกัน เป็นนิสัยเหมือนลูกสุนัขกำลังพองขนขู่คนอื่นว่าฉันไม่ใช่คนที่จะมารังแกกันง่าย ๆ นะ อะไรแบบนั้นเลย

 

แถมยังไม่ค่อยชอบหน้าเขาอีก ช่วยไม่ได้ล่ะนะที่จะหวาดระแวง

 

“อืม…นายอยากให้ผมใจดีด้วยบ่อย ๆ?” พอถามไปอย่างนั้นสเลนก็เบิกตากว้าง หน้าขึ้นสีทันที เด็กหนุ่มคิดจะคาดคั้นเอาความจริง ไม่นึกว่าจะโดนสวนกลับมาให้อับอายแบบนี้

 

“ใช่ที่ไหนเล่า!”

 

“ผมใจดีกับนายบ่อยไป”

 

“ชมตัวเอง!”

 

“ที่ติวคณิตศาสตร์ให้นายไม่นับเหรอ”

 

“อ๊ะ!” สเลนเกือบสำลัก โต้แย้งไม่ได้ด้วย จะว่าตัวเองขอให้เขาติวให้ก็ไม่ใช่ เพราะหลังจากเห็นคะแนนเขา อีกฝ่ายก็เอาข้อสอบเขาไปดูแล้วก็วิจารณ์ ๆๆ จากนั้นก็เอาโจทย์มาให้เขาทำเฉย มันเลยกลายเป็นการโดนติวแบบงง ๆ

 

“วันนี้ผมยอมดูหนังกับนายด้วย”

 

สเลนอ้าปากค้าง ใคร! ใครยอม! ไม่มีใครขอสักนิด!

 

“พูดเองเออเอง!” ว่าจบสเลนก็เดินจ้ำนำหน้าไปทันที

 

อินาโฮะอยากจะหัวเราะ โดนยั่วนิดหน่อยก็ลืมเรื่องที่กำลังคุยเครียด ๆ ไปเสียแล้ว ร่างโปร่งสาวเท้าตามคนที่เดินกระแทกส้นเท้าอย่างอารมณ์เสียอย่างไม่รีบร้อน แล้วพูดก่อนที่ระยะห่างจะมากไปกว่านี้

 

“แต่ที่นายเข้าใจก็ถูกนะ”

 

“หา” สเลนหันกลับมาขมวดคิ้ว

 

“หลังจากนี้ผมมีแผนกับนายจริง ๆ”

 

คนฟังเม้มปาก ถอนหายใจออกมาเป็นเชิง ‘ว่าแล้วไหมล่ะ!’ ก่อนจ้องเขาด้วยนัยน์ตาวาววับ อินาโฮะคิดว่าสเลนพร้อมพุ่งใส่เขาเต็มแก่แล้ว

 

เด็กหนุ่มชาวญี่ปุ่นเดินไปหาแล้วเปลี่ยนเรื่อง “ไปร้านหนังสือกันก่อนเถอะ”

 

“จะให้ผมทำอะไร” สเลนยังไม่ละความสนใจ

 

“ไม่ใช่เรื่องยากอะไรหรอก” คำตอบของอินาโฮะออกมาอย่างเรียบง่าย “เพื่อเป็นการตอบแทน ตอนเย็นช่วยไปด้วยกันหน่อย”

 

.

.

.

 

สเลนเตรียมใจไว้แล้วว่าอาจจะต้องเจอการกลั่นแกล้งประหลาด ๆ หรืออาจโดนขอให้ช่วยเหลืออะไรสักอย่าง ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงเขาก็พร้อมใจจะทำ แม้จะนึกเซ็งตัวเองก็ตาม ต้องโทษที่เขาเชื่อคนง่ายเกินไปถึงได้ตกหลุมพรางของอินาโฮะง่าย ๆ

 

ตอนที่อินาโฮะบอกว่าจะพาไปคุยที่บ้านเขาก็ส่งสายตาไม่ไว้ใจใส่ไปหลายที ถึงกระนั้นเจ้าคนหน้านิ่งก็เหมือนจะไม่รู้สึกรู้สา ยังคงยืนยันให้เขาตามไปให้ได้ ให้ตายเถอะ คงไม่มีใครน่าตีเท่าเขาอีกแล้วที่กล้าตามเข้าบ้านคนไม่น่าไว้ใจแบบนี้ เพราะคิดแบบนั้นสเลนจึงทำหน้าไม่สบอารมณ์มาตลอดทางจนกระทั่งถึงบ้านอินาโฮะซึ่งเป็นอพาร์ตเมนต์ขนาดแปดชั้น อยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนของพวกเขามากนัก

 

แม้จะหงุดหงิด แต่สเลนก็เผลอตื่นเต้นขึ้นมาเพราะนึกได้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขามา ‘บ้านเพื่อน’

 

มองจากระเบียงชั้นสี่ออกไป สเลนเห็นวิวตึกรามบ้านช่อง ทางรถไฟทอดยาวที่เพิ่งโดยสารมาเลี้ยวหายไปจากสายตา และสะพานข้ามแม่น้ำอยู่ไกล ๆ ดวงอาทิตย์ยามเย็นลอยตัวเอื่อยเฉื่อยส่องแสงสีทองสะท้อนผิวน้ำ เป็นบรรยากาศที่สวยมากจนเขาเผลอมองอยู่หลายนาทีลืมอารมณ์ก่อนหน้านี้ไปเสียสนิท

 

“เข้าบ้านเถอะ” เจ้าบ้านชักชวน สเลนก็พยักหน้าอย่างว่าง่าย

 

ทว่าทันทีที่ก้าวข้ามธรณีประตูเสียง ‘ปุ้ง!’ ก็ดังสนั่นอื้ออึงที่ข้างหู ดวงตาพร่าไปชั่วขณะจับได้เพียงเศษพลุกระดาษที่ร่วงโปรยลงมาเหนือหัว ก่อนจะมีเสียงประสานดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียงจนลั่นห้อง

 

“สุขสันต์วันเกิด!!”

 

สเลนตกใจอ้าปากค้างเพราะการจู่โจมที่ไม่ทันตั้งตัว มองคนทั้งหลายตรงหน้า อิงโกะ นีน่า อัสเซลัม เอเดลริซโซ่ ไรเอย์ ตลอดจนคาล์ม โอคิสุเกะและยูกิ หญิงสาวที่สเลนจำได้ว่าเป็นพี่สาวของอินาโฮะ มองเลยไปตรงกำแพงข้างหลังนั่นมีป้ายเขียนไว้ว่า ‘Happy Birthday to Slaine’ เด่นหราจนทำให้เขายิ้มไม่หุบ

 

“สุขสันต์วันเกิดนะสเลนคุง!” นีน่าอวยพรอีกรอบ

 

“อา…” สเลนส่งเสียงออกมาสั้น ๆ ใช้เวลาชั่วครู่ก่อนจะเริ่มเข้าที่เข้าทาง ยิ้มกว้างส่งให้ทุกคน “ขอบคุณทุกคนมากนะครับ”

 

“สเลนคะ เป่าเค้กเร็วเข้า” อัสเซลัมถือเค้กที่จุดเทียนเดินออกมาข้างหน้า สเลนเป่าเค้กในรวดเดียว ทุกคนส่งเสียงเฮกันเต็มห้อง

 

“นายต้องกินเค้กนี่ให้หมดด้วยเพราะองค์หญิงเป็นคนซื้อมาเองเลยนะ” เอเดลริซโซ่บอกเขาด้วยสีหน้าขึงขัง แม้ปกติเด็กหญิงดูจะไม่ชอบหน้าเขา แต่ในเวลานี้ก็ยังอุตส่าห์มาช่วยจัดงานวันเกิดให้ สเลนจึงดีใจมาก เขาพยักหน้าเร็ว ๆ

 

“ได้เลยครับ”

 

“เฮ้อ อินาโฮะนะ บอกให้ส่งข้อความมาก่อนเปิดประตูแท้ ๆ” อิงโกะอดบ่นไม่ได้ เธอวางแผนไว้ว่าสเลนจะเข้ามาเจอห้องมืด ๆ ที่มีเค้กและแสงเทียน บรรยากาศสลัว ๆ พิเศษ ๆ แบบงานวันเกิดทั่วไป เธอเลยกำชับอินาโฮะไว้ว่าถ้าหน้าห้องแล้วให้ส่งข้อความมาบอกด้วยจะได้เตรียมตัวปิดไฟจุดเทียนได้ทัน

 

“บอกแล้วนะ” อินาโฮะตอบ

 

“บอกปุ๊ปก็เปิดประตูปั๊ป หมดกันแผนฉัน!” เพื่อนสาวค้อนตาคว่ำ

 

“ขอบคุณนะครับ” สเลนหันไปบอกอิงโกะ ส่วนคาล์มเอาหมวกปาร์ตี้มาสวมให้สเลน

 

“ไม่เป็นไร ถือว่าเป็นงานต้อนรับสเลนคุงที่ย้ายมาไปด้วยเลยแล้วกันนะ”

 

“สเลน มานี่เร็ว ๆ” โอคิสุเกะแหวกฝูงชนไปพาสเลนมานั่งที่โต๊ะอาหารซึ่งมีหม้อไฟฟ้าตั้งพร้อมกับเนื้อสัตว์และผักต่าง ๆ เตรียมไว้เสร็จสรรพ “นี่ นายรีบเปิดงานเลย ฉันหิวแล้ว”

 

“โหยยยย” ทุกคนส่งเสียงโห่ราวกับนัดกันมา

 

“อะไร ฉันทำอะไรผิด?”

 

อิงโกะกับนีน่ากลอกตาไม่อยากพูดอะไรกับเจ้าตัวตะกละนี่ ส่วนคาล์มตบหัวเพื่อนไปทีหนึ่ง ยูกิหัวเราะเบา ๆ แล้วหยิบถ้วยและตะเกียบเตรียมให้ทุกคนโดยยื่นไปที่สเลนเป็นคนแรกพร้อมกับบอก

 

“สุขสันต์วันเกิดนะจ๊ะ ขอให้มีความสุขมาก ๆ นะ”

 

“ขอบคุณครับ”

 

หลังจากนั้นยูกิก็เรียกเด็ก ๆ ให้นั่งประจำที่ มีการถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกกันเล็กน้อย ทุกคนลงความเห็นว่าให้เก็บเค้กไว้ในตู้เย็นสำหรับเป็นของหวาน ส่วนตอนนี้พร้อมใจกันอิ่มหนำกับของคาวตรงหน้าหลังจากเหนื่อยเตรียมงานกันมา ทั้งโต๊ะเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและโวยวายโดยที่สเลนยิ้มไม่หยุด

 

ที่น่าทึ่งคือหลังจากทานหม้อไฟไปเยอะขนาดนั้น ทุกคนยังสามารถทานเค้กต่อได้อีก แล้วพวกผู้หญิงยังซื้อไอศกรีมเก็บไว้ด้วย รู้ตัวอีกทีสเลนก็อิ่มมากจนทานอะไรไม่ลงแล้ว

 

“อินาโฮะ พวกฉันกลับก่อนนะ” เมื่อเห็นว่าดึกมากแล้วคาล์มกับโอคิสุเกะจึงขอตัวไปก่อน

 

“อืม”

 

“สเลนเจอกันที่โรงเรียนวันจันทร์นะ” โอคิสุเกะโบกมือบ๊ายบายเขา ท่าทางร่าเริงตั้งแต่ต้นจนจบงาน

 

“ครับ” สเลนโบกมือลาอีกฝ่าย หลังจากนั้นก็เดินเข้าไปหาพวกผู้หญิงที่กำลังล้างจานอยู่ในครัว “ให้ผมช่วยไหมครับ”

 

“อย่าเลยสเลนคุง เดี๋ยวพวกพี่จัดการกันเอง” ยูกิหันมาบอกอย่างเกรงใจ สเลนขมวดคิ้วเล็กน้อยเพราะว่าเกรงใจเช่นกัน

 

“แต่ว่า…”

 

“อย่าคิดมากเลย นี่เป็นสิทธิพิเศษในวันเกิดนะ” ยูกิขยิบตา “นี่ก็ดึกมากแล้ว กลับก่อนได้เลยนะจ๊ะให้นาโอะคุงไปส่งนะ”

 

“อ่า…ครับ” สเลนพยักหน้าน้อย ๆ ยังคงดูเกรงใจอยู่ดี แต่สุดท้ายเขาก็บอกลาพวกสาว ๆ ที่คืนนี้ตั้งใจจะค้างกับอิงโกะซึ่งอาศัยอยู่อพาร์ตเม้นต์แห่งนี้เหมือนกัน โดยมีอินาโฮะเดินตามมาส่งที่ป้ายรถเมล์

 

เดินออกมาฟ้าก็เป็นสีดำทมึน แต่คืนนี้ฟ้าโปร่ง ทำให้มีดาวบางดวงโผล่ออกมาเปล่งแสงวิบวัวทักทายชวนจับจ้อง อุณหภูมิตอนกลางคืนต่ำลงจนสเลนหนาวสั่นขึ้นมาเล็กน้อยระหว่างทั้งคู่เดินอยู่บนถนนที่เงียบเหงา

 

“อ่า เข้าใจล่ะ ที่คุณมาชวนผมไปข้างนอกก็เพื่อจะถ่วงเวลานี่เอง” สเลนพูดกับคนข้าง ๆ

 

“อืม”

 

“หึ ๆ” พออินาโฮะรับคำแล้วก็ต้องแปลกใจกับเสียงหัวเราะเล็ก ๆ ของอีกคน เด็กหนุ่มหันไปมองก่อนพบรอยยิ้มของอีกฝ่ายที่กำลังส่งให้เขา

 

ส่งยิ้มมาให้เขา…

 

เขาถึงกับนึกว่าตัวเองตาฝาดเลยทีเดียว

 

“แต่คุณเกือบทำผมหนีกลับหลายทีแล้วรู้ไหม” สเลนอดบ่นไม่ได้ “ทั้งตอนจะดูหนังผี ตอนออกจากโรง ทำผมหงุดหงิดทั้งวัน”

 

“นายอยู่กับผมก็หงุดหงิดอยู่แล้วนี่” อินาโฮะท้วง

 

“ก็จริง” คู่สนทนายอมรับโดยดุษฎีแล้วถามอย่างนึกสนุกแบบที่ไม่เคยทำกับอินาโฮะมาก่อน “ถ้าผมหนีกลับบ้านคุณจะทำยังไง”

 

“จับมัดล่ะมั้ง”

 

“เอาจริงดิ ? ไม่ใช่นึกอยากจะมัดก็มัดได้นะ” อินาโฮะคิดว่าสเลนจะโกรธแต่กลายเป็นว่าอีกฝ่ายกลับโคลงหัวแล้วพูดขำ ๆ “คงเป็นงานหนักเลยล่ะสิ ครั้งหน้าบอกคุณอามิฟุมิว่าอย่าให้คุณรับหน้าที่นี้เลยครับ”

 

“เห็นด้วย” เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเห็นตรงกัน

 

“แต่ก็ขอบคุณนะครับสำหรับวันนี้” สเลนกล่าวด้วยรอยยิ้ม ดวงตาสีน้ำทะเลเป็นประกายน่ามอง เหตุการณ์ทั้งหลายที่เขาหงุดหงิดอารมณ์เสียในวันนี้กลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเลย คิดถึงทีไรกลับรู้สึกขำขึ้นมาทันใด คิดดูสิ คนอย่างอินาโฮะต้องมารับหน้าที่พาเขาไปเที่ยวทั้งวันต้องลำบากอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน

 

เหตุการณ์นี้ทำให้สเลนยอมรับได้อย่างสนิทใจว่าอินาโฮะไม่ใช่คนเลวร้าย ความรู้สึกที่เขามีต่ออีกฝ่ายดีขึ้นหลายส่วน

 

โดยเฉพาะเวลาคิดถึงอาหารมื้อแรกที่บ้านเพื่อนของเขา ตอนนี้สเลนมีความสุขเกินกว่าจะมีทิฐิใส่ใคร รอยยิ้มของเขาจึงปรากฎออกมาอย่างง่ายดาย

 

อินาโฮะมองตาไม่กะพริบ ทั้งรอยยิ้ม ทั้งคำขอบคุณนั่นเขาบันทึกมันไว้ในสมองอย่างหนักแน่นโดยไม่รู้ตัว

 

“อืม”

 

“โอ๊ะ รถมาแล้ว” สเลนร้องเมื่อเห็นแสงไฟจากหน้ารถสายที่จะต้องขึ้นวิ่งเข้ามาใกล้ อินาโฮะมองตามพลันรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย จวบจนรถเมล์จอดสนิทที่ป้ายก็ได้แต่เฝ้ามองร่างสมส่วนก้าวขึ้นไป ก่อนชะงักเล็กน้อย เอี้ยวตัวกลับมา

 

“ไปนะครับ เจอกันที่โรงเรียน” บอกลาพร้อมรอยยิ้มและโบกมือบ๊ายบายด้วย…

 

“เจอกันที่โรงเรียน”

 

อินาโฮะเชื่อแล้วว่าสเลนอารมณ์ดีจริง ๆ

 

นัยน์ตาสีแดงมองตามรถแล่นจากไป แสงไฟที่สาดเข้าตาห่างออกไปไกลลิบจนเหลือเพียงจุดสีขาวเล็ก ๆ เด็กหนุ่มยืนอยู่ตรงนั้นจนกระทั่งมันหายลับไปจึงหมุนตัวกลับไปทางเดิม

 

วันนี้เขาแก้โจทย์รอยยิ้มของสเลนได้โดยบังเอิญ ต้องขอบคุณอิงโกะจริง ๆ ที่คิดแผนนี้ขึ้นมา เขาได้เห็นรอยยิ้มจริงใจที่สเลนมอบให้เป็นครั้งแรกตั้งแต่รู้จักกัน ทว่ามันกลับตามมาด้วยโจทย์ใหม่ที่คาดไม่ถึง

 

ยิ้มของสเลนเหมือนยาเสพติด…

 

พอได้เห็นแล้ว เขาก็อยากจะเห็นอีกเยอะ ๆ

 

.

.

.

 

Fin.

 

——————————————————————

 

Talk

 

สวัสดีค่ะ เราหายไปนานมากกกกกกกกกก (ทุกที) กลับมาพร้อมฟิควันเกิดน้องสเลนแบบเลท ๆ จริง ๆ ฟิคนี้ร่างไว้ตั้งแต่ 2 ปีที่แล้ว ถถถถถถ เซ็ตติ้งใช้เป็นธีมของ Aldnoah Gakuen วัยรุ่นมัธยมใส ๆ ไร้สงคราม อยู่ในซีรี่ส์ Show me your smile ไม่เชิงเป็นตอนต่อเรื่องยาว เราอยากให้มันเป็นเรื่องสั้นจบในตอนมากกว่าค่ะ หมายความว่านึกอะไรได้ก็เขียน ๆ ออกมา อาจจะมีต่อหรือไม่มี

ซึ่งซีรี่ส์นี้เราตั้งใจไว้ว่าจะเขียนออกมาโดยใช้มุมมองของอินาโฮะเป็นหลัก เพราะธีมหลักของเรื่องก็คือ อินาโฮะที่อยากได้รอยยิ้มของสเลนนี่นา 🤭

นายมีมุมแบบนี้ด้วยเหรอเนี่ย…

 

 

2 thoughts on “[A/Z ShortFic] Show me your smile : Solution 1 Birthday [Inaho x Slaine]

  1. Pang says:

    โอโหหหห ไรต์กลับมาแล้วฮือออ เป็นจังหวะดีๆที่อยู่ดีๆก็ฉุกใจอยากอ่านส้มค้างคาวขึ้นมาเลย กลับมาอ่านเรื่องเก่าๆของไรต์แล้วพึ่งมาเห็นว่าไรต์อัพ ดีใจจังเลยค่ะ สู้ๆต่อไปนะคะ

  2. Aimer_SN says:

    แงงงง หาส้มค้างคาวแบบช่วงนี้หาอ่านยากมากจริงๆค่ะ TTTT ดีใจมากค่ะที่กลับมาอัพแล้ว น่ารักมากๆๆๆๆ รี้ดเขินจนมือหงิกหมดแล้วค่ะ

    ฮื่อ สู้ๆสำหรับเรื่องต่อไปนะคะะะ รอได้เสมออลยย

Leave a comment