[A/Z Fic] Heart Prisoner – Special : Let’s my blue rose glowing in your heart (1)

Title : Heart Prisoner – Special : Let’s my blue rose glowing in your heart

Fandom : Aldnoah.Zero

Pairing : Kaitsuka Inaho x Slaine Troyard

——————————————————————

(1)

.

.

.

เหตุการณ์มันเกิดขึ้นในตอนที่เขาเป็นเวรเฝ้าเคาน์เตอร์ในห้องสมุด คุณนายเมลานี่เป็นแม่บ้านวัยห้าสิบกว่า หน้าตายิ้มแย้ม ผิวพรรณดี รูปร่างท้วม ไว้ผมยาวสีน้ำตาลมัดเป็นเปียถึงเอว เวลาที่เจอ เขามักจะได้กลิ่นขนมอบจากร้านขนมปังของเธออยู่เสมอ

ด้วยความเป็นคนช่างคุย เธอเป็นคนแรก ๆ ในชุมชนที่เข้ามาทักทายเขากับอินาโฮะซึ่งเป็นคนมาใหม่และให้การต้อนรับกับพวกเขาอย่างดี เธออัธยาศัยดี ส่งยิ้มทักทายกับทุกคน ไม่มีใครในชุมชนที่เธอไม่รู้จัก และไม่มีเรื่องอะไรที่เธอจะไม่รู้ เธอติดนิยายรักโรแมนติก ดังนั้นเรื่องที่ดึงดูดคุณนายเมลานี่ผู้เป็นขาประจำของห้องสมุดแห่งนี้ที่สุดเห็นจะเป็นความรักของหนุ่ม ๆ สาว ๆ นี่ทั้งโลกในนิยายและความจริง

ในบ่ายวันพุธสเลนซึ่งอยู่หลังเคาน์เตอร์บรรณารักษ์ยิ้มต้อนรับเธออย่างเคย

“สวัสดีครับคุณเมลานี่ วันนี้เป็นยังไงบ้างครับ เจอเรื่องที่ถูกใจไหม”

“แค่เรื่องเดียว” นิยายรักหนึ่งเล่มวางลงบนเคาน์เตอร์พร้อมรอยยิ้มอ่อนใจจากหญิงวัยกลางคน “รู้ไหมเล่มนี้ฉันอ่านเป็นรอบที่ห้าแล้ว บางทีฉันก็คิดว่าอยากจะย้ายออกจากที่นี่ไปอยู่ในเมืองใหญ่ ๆ จะต้องมีนิยายออกใหม่ให้อ่านตลอดแน่”

สเลนคลี่ยิ้มขณะเปิดหน้าสุดท้ายของเล่มเพื่อแสกนบาร์โค้ดหนังสืออย่างคล่องแคล่วและฟังคำบ่นของเธอไปด้วย “ที่จริงช่วงสัปดาห์ก่อนก็มีหนังสือเข้ามาใหม่นะ คุณอ่านหมดแล้วเหรอ?”

“อ่านจนเบื่อแล้ว” เมลานี่ว่า “เดี๋ยวนี้มีนิยายให้อ่านทางอินเตอร์เน็ตเยอะแยะ ฉันสายตาไม่ดีแล้วยังไงก็ชอบอ่านเล่มอยู่ดี แต่กว่าที่นี่จะเอาเล่าใหม่ ๆ เข้ามาก็ไม่ทันใจฉันน่ะสิ”

สเลนพยักหน้า จดเรื่องนี้เอาไว้ในโน้ต “ไว้ผมจะแจ้งคุณเวนิต้าให้อัพเดทหนังสือให้เร็วกว่านี้นะครับ อ่ะนี่ครับ”

เขาส่งหนังสือคืนให้เธอตามปกติ แต่เมลานี่กลับยังยืนอยู่ที่เดิม เมียงมองหน้าเขาราวชั่งใจจนต้องถาม “มีอะไรเพิ่มเติมมั้ยครับ?”

เมลานี่กระหยิ่มยิ้มย่อง ดวงตาสีน้ำตาลสดใสเป็นประกายและดูมีลับลมคมนัยขณะเอาแขนทั้งสองข้างเท้าลงบนเคาน์เตอร์ ชะโงกหน้ามากระซิบกับเขา สเลนรู้สึกว่าเธอกำลังจะพูดเรื่องสำคัญจึงตั้งใจฟังเป็นอย่างดี

“จะว่าไปเธอก็ย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่นานแล้วนะ”

“ใช่ครับ” สเลนตอบรับ

คำถามทำให้เขานึกย้อนกลับไป ชีวิตของเขาสงบสุขมาได้ราวสามปีแล้วนับจากออกมาจากคุก ปลีกตัวมาอยู่ที่นี่ ทำตัวเหมือนตายจากโลกใบนี้ ชีวิตที่นี่เรียบง่าย ตื่นเช้ามารดน้ำแปลงดอกไม้หน้าบ้าน ทานอาหารเช้าเป็นแซนวิสไข่กวนคู่กับกาแฟง่าย ๆ ขับรถมาทำงาน อยู่ห้องสมุดทั้งวัน ตกเย็นก็กลับบ้านไปนอนดูทีวีก่อนนอน ชีวิตเขาสมถะ ไม่ต้องต่อสู้ดิ้นรนเหมือนอดีต บางครั้งยังสงสัยว่าตัวเองฝันไป

ฝันที่ดีที่สุดในนั้นคือเขามีใครบางคนอยู่ข้างกาย แบ่งปันทุกข์สุขด้วยกัน ทะเลาะกันบางวัน คืนดี ยิ้มและหัวเราะไปด้วยกัน แม้จะยังสงสัยมาจนทุกวันนี้ว่าอะไรทำให้พวกเขามาลงเอยที่จุดนี้กันได้ แต่ทุกครั้งที่มีโอกาสอธิษฐานอะไรสักอย่าง การอยู่กับคนนั้นไปนาน ๆ ก็เป็นหนึ่งในไม่กี่ความปรารถนาของเขา

ด้วยเหตุนี้สเลนจึงไม่คาดคิดเมื่อเมลานี่ถามคำถามต่อมา

“น้องชายของเธอน่ะ อาจารย์อินาโฮะมีแฟนหรือยัง?”

“ครับ?” คนฟังชะงัก กะพริบตาและเลิกคิ้วถามกลับราวกับว่าเมื่อครู่ตัวเองหูฝาดทั้งที่ความเงียบของห้องสมุดทำให้ได้ยินมันชัดเจน

เมลานี่หัวเราะอย่างเขิน ๆ ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มซุกซน “ฉันไม่อ้อมค้อมแล้วกันนะ แต่ฉันเห็นพวกเธออยู่กันสองคนพี่น้อง ทำงานทั้งคู่ ก็เลยคิดว่าบางทีน่าจะมองหาผู้หญิงสักคนมาแต่งงานแต่งการแล้วสร้างครอบครัวจะได้ช่วยแบ่งเบาภาระไงล่ะ จะว่าไป อาจารย์อินาโฮะนี่ยังโสดใช่มั้ย”

“เอ่อ…” นั่นเป็นคำถามที่สเลนตอบไม่ถูก โสดเหรอ…อินาโฮะนี่เรียกโสดหรือเปล่านะ ในเมื่อสำหรับที่นี่พวกเขาเป็นพี่น้องกัน

แต่ท่าทางคุณนายเมลานี่จะไม่ได้สนใจตรงนั้น เธอคงมีคำตอบในใจอยู่แล้ว

“ยังโสดแน่ เพราะฉันไม่เห็นอาจารย์อินาโฮะไปไหนมาไหนกับผู้หญิงสักคน มาทำงาน จ่ายตลาด แล้วก็รับเธอกลับบ้าน ทำอาหารอร่อยด้วย เป็นผู้ชายที่ดีจริง ๆ เลยน้า รู้ไหมว่าอาจารย์ชอบผู้หญิงแบบไหน?”

“ผม.. ผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ” สเลนตอบด้วยเสียงไม่มั่นใจ หลุบตาลงมองหนังสือที่ตัวเองอ่านค้างไว้หลังเคาน์เตอร์อย่างหลบเลี่ยง

คุณนายเมลานี่ยังดูอารมณ์ดีเช่นเดิม และไม่สังเกตท่าทางของคู่สนทนาเลยแม้แต่น้อย “ไม่เป็นไร ๆ ถ้าอย่างนั้นลองให้คุยกับลิซ่าก็ไม่น่าจะเสียหาย เอ๊ะ หรือว่าเธออยากจะลองคุยกับลิซ่าดูหรือเปล่า?”

ท้ายประโยคหญิงวัยกลางคนหันมาถามสเลนซึ่งทำหน้างงหนัก ลิซ่า…คือลูกสาวคนเดียวของบ้านเมลานี่ เพิ่งโตเป็นสาวสะพรั่ง ใบหน้าตกกระเล็กน้อยแต่ก็ยังคมเข้ม ผิวสีน้ำผึ้งอย่างชาวเกาะทางตอนใต้ เขาได้คุยกับหล่อนไม่กี่ครั้งแต่ก็รู้ว่าหล่อนสดใสร่าเริง และแน่นอนว่าโสด เพราะคุณแม่ของเธอกำลังสรรหาชายผู้คู่ควรกับลูกสาวตัวเองอยู่ ผู้ที่ในเวลานี้ท่าทางจะเบื่อเรื่องรักในนิยายและอยากให้เกิดขึ้นบนโลกแห่งความจริงบ้าง

“อืม… ผมยังไม่คิดเรื่องนั้นหรอกครับ”

“ไม่เป็นไร แต่ยังไงเธอก็ควรคิดเรื่องครอบครัวเอาไว้บ้าง รู้ไหม น้องชายของเธออาจจะไม่ได้อยู่กับเธอตลอดชีวิตหรอกนะ ทุกคนจะต้องมีครอบครัว แล้วถ้าอาจารย์อินาโฮะแต่งงานไปเธอจะต้องอยู่คนเดียว ยังไง…ถ้าเธอสนใจคนไหนก็บอกฉันได้นะ ฉันจะคอยช่วย” เธอบอกเขาอย่างหวังดี รวบหนังสือในมือขึ้นแนบอกคล้ายกับว่าการสนทนาจบลงแล้วโดยที่สเลนได้แต่ยืนฟังแล้วคิดตาม

ครอบครัว… เขาไม่เคยนึกถึงคำนี้มาก่อน แต่พอนึกถึงภาพอินาโฮะเข้าพิธีวิวาห์กับผู้หญิงสักคนก็รู้สึกขม ๆ ขึ้นมา

“จริงสิ งานเทศกาลหมู่บ้านวันเสาร์ที่จะถึงนี้ชวนน้องชายเธอมาด้วยสิ” ในตอนที่กำลังจะไปอีกฝ่ายก็ชวนเมื่อนึกขึ้นมาได้

งานเทศกาลหมู่บ้านที่เมลานี่พูดถึงเป็นงานเต้นรำประจำปีของที่นี่ ซึ่งถือเป็นโอกาสพิเศษสำหรับการนัดพบกันของหนุ่มสาวในสมัยก่อนมาอย่างยาวนาน ในงานจะมีอาหารท้องถิ่นขาย มีงานแสดงดนตรีพื้นบ้านต่าง ๆ ตั้งแต่เช้าจรดเย็น ทุกคนในหมู่บ้านตื่นเต้นเตรียมงานกันตั้งแต่เดือนที่แล้ว โดยเฉพาะเด็ก ๆ ที่นับวันรออย่างใจจดใจจ่อ

ธรรมเนียมลับของเทศกาลนี้คือการมอบดอกไม้ที่เตรียมมาให้กับคนที่หมายปองแล้วเต้นรำกัน จากที่ฟังมาสมัยก่อนเหล่าหญิงสาวจะเป็นฝ่ายมอบให้ แต่เดี๋ยวนี้ฝ่ายชายบางคนก็เตรียมไว้เหมือนกัน คล้าย ๆ กับเป็นเทศกาลความรักอย่างวาเลนไทน์ที่นิยมไปทั่วโลก

ปีแรกสเลนและอินาโฮะมาไม่ทันเทศกาล ปีที่สองถึงจะได้มีโอกาสเดินเที่ยวเล่นในงาน ตอนนั้นเขายังเป็นมือใหม่หัดเที่ยว นึกว่าเป็นแค่เทศกาลทั่วไป ตอนที่เห็นเสียงฮือฮาเพราะมีคู่รักประกาศแต่งงานกลางหมู่บ้านก็เลยตื่นเต้นไปด้วย

สำหรับปีนี้ แน่นอนว่าคนที่ไม่ได้ไปงานเทศกาลมานับสิบปีอย่างสเลนก็รอคอยอยู่เช่นกัน เขานัดกับอินาโฮะแล้วว่าจะต้องไปด้วยกันให้ได้ ทานข้าวนอกบ้าน ดูไฟประดับ ฟังดนตรีสด แล้วรอดูเรื่องสนุก ๆ ว่าจะมีใครประกาศแต่งงานอีกหรือเปล่า ทว่าเมื่อได้ยินคุณนายเมลานี่เอ่ยถามเรื่องคู่ครองของอินาโฮะ ความอยากไปของเขาก็ลดฮวบ

เขาอยู่กับอารมณ์อึมครึมนั้นตลอดบ่าย ห้องสมุดวันนี้ไม่มีอะไรให้ทำมากนัก เด็กหนุ่มจึงฝากเจ้าหน้าที่อีกคนช่วยดูแลก่อนจะไปพักบ้าง สเลนเดินไปตามชั้นหนังสือ สายตาไล่เรียงตามปกเพื่อหาอะไรน่าสนใจมาอ่านให้ตัวเองหลุดพ้นจากความรู้สึกบ้า ๆ

“เป็นความจริงเหรอ เรื่องที่ฮันน่าชอบไมค์น่ะ”

มือกำลังจะหยิบหนังสือแนววิทยาศาสตร์ลงจากชั้นพลันชะงักเมื่อได้ยินเสียงกระซิบของผู้หญิงดังขึ้นมาจากอีกฟากของชั้น หมวดวิทยาศาสตร์เป็นโซนที่ไม่ค่อยมีใครแวะมามากนัก จึงเหมาะสำหรับคนที่ชอบมุมเงียบ ๆ และซ่อนตัวแอบซุบซิบกัน กอปรกับห้องสมุดเงียบอยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว สเลนจึงได้ยินชัดเจน

ดวงตาสีน้ำทะเลมองลอดผ่านช่องว่างเล็ก ๆ ของชั้นหนังสือไป เห็นร่างของเด็กสาวสองคนกำลังยืนคุยกัน แต่ด้วยช่องว่างเพียงแค่นี้เขาไม่สามารถเห็นใบหน้าของทั้งคู่ได้

“จริง! ตอนนั้นฉันแอบฟังยัยนั่นคุยกับเพื่อน ได้ยินกับหู เห็นกับตา เหอะๆๆ” อีกเสียงดูเกรี้ยวกราวเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะแกน ๆ แล้วถอนหายใจ

ทั้งคู่เงียบไปครู่หนึ่ง ทำให้สเลนพลอยเงียบไปด้วยเพราะเขาเกรงว่าทั้งคู่จะรู้ว่ามีคนอยู่ตรงนี้ ที่จริงเขาไม่ตั้งใจจะแอบฟัง แต่เพราะรู้สึกว่าเรื่องที่ทั้งคู่กำลังคุยอยู่มันคล้ายคลึงกับเรื่องของเขาในตอนนี้จึงรู้สึกสนใจขึ้นมาไม่ได้

“เธอคิดมากเหรอ?” เสียงเพื่อนถามอย่างเป็นห่วง

“ไม่คิดมากได้เหรอ แฟนทั้งคน! มีคนอื่นมาชอบก็ต้องกังวลเป็นธรรมดา” ฝ่ายหญิงที่อยู่ ๆ ก็พบว่ามีหญิงอื่นมาแอบชอบแฟนตัวเองตอบกลับด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด สเลนอดพยักหน้าอย่างเห็นด้วยไม่ได้ เขาเข้าใจหัวอกเธอเป็นอย่างดีเชียวล่ะ!

“ก็แค่คนแอบชอบนี่ เธอเป็นแฟนจะกลัวอะไร ไมค์รักเธอจะตาย”

คนที่เงี่ยหูฟังคิดแล้วพลันรู้สึกคล้อยตาม

“ทำไมฉันต้องกลัว? เหอะ! ฉันกลัวไม่ได้เหรอ แฟนเป็นได้แล้วเลิกไม่ได้หรือไง พูดเหมือนไม่เคยเลิกกับแฟน” เสียงสาวน้อยว่าอย่างกราดเกรี้ยวทำเอาคนพูดปลอบและคนแอบฟังหน้าม่อยไปตาม ๆ กัน

“งะ งั้นเธอจะทำยังไงล่ะ”

คนถูกถามกัดปากด้วยสีหน้าใช้ความคิด ความเงียบทิ้งตัวโดยไม่รู้ว่ามีใครแอบฟังอย่างอึดอัดทรมานก่อนจะโพล่งออกมาอย่างมาดมั่น “ก็แสดงความเป็นเจ้าของเต็มที่น่ะสิถามได้! นังผู้หญิงหน้าไหนก็อย่าบังอาจมายุ่งกับแฟนฉัน เข้ามาแม่จะตบให้ฟันร่วงเลยคอยดู!”

ผู้หญิงสองคนนั้นจากไปแล้ว เหลือแต่คนแอบฟังที่ยืนหน้าซีดอยู่ในซอกตู้หนังสือ คิดไม่ออกว่าตัวเองควรจะทำยังไง

ขะ…เขาคงไม่ต้องทำขนาดนั้นหรอก

…มั้ง?

คิดพลางหัวเราะแห้ง ๆ กับตัวเองก่อนจะชะงัก นึกได้ว่าไม่ควรเก็บคำพูดคนอื่นมาใส่ใจมากนัก ใครจะรักจะชอบใครก็ไม่ใช่เรื่องของเขา สุดท้ายถ้าลิซ่าเกิดชอบอินาโฮะเข้าจริง ๆ สเลนคิดว่าเขาเชื่อใจอีกฝ่ายพอสมควร

ใช่ ๆ ของอย่างนี้มันตบมือข้างเดียวได้ซะที่ไหนเล่า!

.

.

.

ร่างเพรียวในเสื้อเชิ้ตสีฟ้าสดใสเดินทอดน่องไปตามทางเท้าพลางฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี วันนี้เนื่องจากอินาโฮะมีสอนแค่ครึ่งวัน สเลนเลยไม่คิดจะรบกวนให้อีกฝ่ายมารอรับ เขาติดรถเพื่อนร่วมงานที่บ้านอยู่ทางเดียวกันมาลงตรงป้ายรถเมล์ใกล้ ๆ บ้าน แล้วจึงเดินต่ออย่างไม่เร่งรีบ

หลังผ่านเหตุการณ์ต่าง ๆ มาได้ราวปีกว่า ๆ จากการถูกบำรุงด้วยอาหารฝีมืออินาโฮะ ร่างกายของสเลนก็เริ่มกลับมามีเนื้อมีหนัง ไม่ได้ผอมแห้งราวกับคนป่วยเหมือนครั้งยังถูกจองจำ และการได้มาอยู่ในที่ห่างไกล บรรยากาศดี ๆ แบบนี้ก็พลอยทำให้สุขภาพจิตดีขึ้นไปด้วย

จากเนินนี้ขึ้นไปก็เจอจะตัวบ้านเล็ก ๆ ชั้นเดียวที่คุณพ่อของเขาซื้อไว้สมัยย้ายมาทำวิจัยที่นี่ ตัวบ้านสร้างจากคอนกรีตเสริมเหล็กที่แข็งแรง แม้ถูกทิ้งร้างไว้หลายปีโครงสร้างก็ยังอยู่ดี ทว่าตอนมาอยู่ใหม่ ๆ ก็ยังมีบางส่วนที่ต้องปรับปรุงเสียยกใหญ่ บ้านสีขาวหม่นหมองถูกเปลี่ยนเป็นสีครีมอ่อนหวาน หลังคาสีแดงอิฐร้อนแรงเพิ่มความสดใสให้ตัวบ้าน นอกจากนี้สวนหน้าบ้านยังปลูกไม้ดอกไม้ประดับเพิ่มความร่มรื่นสบายตาด้วยฝีมือของเขาเอง

“กลับมาแล้วครับ” เปิดประตูบ้านเขาไปสเลนก็ชะงักเล็กน้อยเมื่อเจอรองเท้าที่ไม่คุ้นอยู่ตรงโถงหน้าบ้าน ขณะที่กำลังคิดว่าแขกที่นาน ๆ จะแวะมาหาเป็นใครกัน ก็ได้ยินเสียงทักซะก่อน

“ยินดีต้อนรับกลับ” เป็นเสียงนิ่ง ๆ ของผู้อยู่ร่วมบ้านอีกคน

“ใครมา…” ประโยคที่กำลังจะถามเป็นอันต้องชะงักกลางอากาศเมื่อเงยหน้าขึ้นมาเห็นร่างสมส่วนของชายหนุ่มชาวญี่ปุ่น ใบหน้าดูดีทว่าติดจะเฉยชาอยู่เป็นนิจอยู่ตรงหน้า ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นคนรักของเขาเอง ทว่าอะไรก็ไม่ทำให้น่าตกใจเท่ากับที่อีกฝ่ายกำลังอุ้มเด็กคนหนึ่งไว้ในอ้อมแขน

เด็กคนนั้นมีส่วนที่คล้ายกับอินาโฮะไม่น้อยเลย!

“…” สเลนไร้คำพูดไปชั่วขณะ ดวงตาสีน้ำทะเลได้แต่มองผู้ใหญ่กับเด็กสลับกัน ขมวดคิ้วใช้ความคิดอย่างหนักกว่าจะเปล่งเสียงถาม “นั่น…ของคุณเหรอครับ?”

อินาโฮะมองเด็กในอ้อมกอดเล็กน้อยก่อนจะบอกว่า “ใช่”

สเลนคลึงขมับ หมุนตัวกลับไปทางประตู ขอใช้ความคิดก่อน! ไม่ มันอาจจะไม่ใช่อย่างที่เขาคิด ว่าแล้วก็สูดหายใจลึกหันกลับไปเผชิญหน้า “เดี๋ยวนะ… ผมขอคำอธิบายหน่อย”

“อ๋อ…” อินาโฮะเหมือนนึกได้ก็ขยายความ “อยู่ ๆ ฝ่ายนั้นก็มาบอกว่าให้ผมรับผิดชอบน่ะ”

“นี่คุณ!” คนฟังเบิกตากว้าง ก้าวขึ้นพื้นยกระดับซึ่งเป็นตัวบ้านเดินทั่ก ๆ เข้าไปหาด้วยความช็อก มองเด็กในอกสลับกับหน้าคนอุ้มที่ยังนิ่งได้อย่างเสมอต้นเสมอปลายจนน่าหมั่นไส้แล้วบังเกิดความรู้สึกที่ไม่ได้เกิดขึ้นมานานคืออยากต่อยให้หน้าหงายสักหมัด

ยิ่งมองก็ยิ่งเหมือนกัน!

“คุณ!” สเลนรู้สึกแย่จนแทบไม่อยากพูด แต่เขาต้องรู้ให้ได้จึงตะเบ็งเสียงถามอย่างเดือดดาล “ไปมีเด็กคนนี้ตั้งแต่ตอนไหนน่ะ!”

“อ่า…” คนถูกถามเงยหน้าคิดแล้วตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน “สัก…ปีที่แล้วมั้ง อายุครบหนึ่งขวบพอดี”

หนึ่งปี!

คนฟังอ้าปากค้าง ในอกบีบรัดจนเจ็บ สเลนกัดริมฝีปากจนแดงช้ำ ทว่าก่อนที่จะได้พ่นคำผรุสวาทออกไป เสียงคุ้นหูก็ดังขึ้นเสียก่อน

“สเลนคุง กลับมาแล้วเหรอ!”

สายตาเขามองเลยไปเบื้องหลังอินาโฮะและปะทะเข้ากับคนที่ไม่ควรจะมาอยู่ที่นี่ได้

“คุณยูกิ?” หญิงสาวที่อยู่ตรงนั้นเป็นพี่สาวของอินาโฮะไม่ผิดแน่ แม้ผมสีน้ำตาลจะสั้นกว่าเมื่อก่อน แต่เขาไม่มีทางลืมใบหน้าอ่อนโยนของเธอ และการที่เธอมาอยู่ที่นี่ก็หมายความว่า…

ร่างสูงในความคิดยืนอยู่ข้างกันพอดี “ฮาร์คไลท์?”

“สวัสดีครับท่านสเลน” ฮาร์คไลท์ยิ้มรับ

“ฮิ ไม่เจอกันนานเลยน้า” ระหว่างที่สเลนกำลังมึนตึ๊บยูกิก็ปรี่เข้ามากอดเข้าให้เต็มรัก เด็กหนุ่มตัวแข็งทื่อเพราะสัมผัสที่ไม่คุ้น ยูกิผละออกมามองสำรวจอีกฝ่ายที่เธอมองเป็นน้องชายอีกคนอย่างปลื้มปริ่มที่ได้เจอ “สเลนคุงดูดีขึ้นเยอะเลยนะเนี่ย”

“อ่า…ครับ” ชายหนุ่มรับคำแบบเบลอ ๆ

“อ้อ! จริงสิ” ยูกิหันไปอุ้มเด็กน้อยในอ้อมกอดอินาโฮะเดินเข้ามาใกล้ ให้สเลนดูหน้าชัด ๆ “นี่ฮิเมะจังไง น่ารักมากเลยใช่มั้ย”

“ฮิเมะจัง…” สเลนทวนคำ รู้สึกว่าชื่อนี้คุ้นหูอย่างบอกไม่ถูก ก่อนจะนึกออก

หลายปีก่อนเขาจะได้ว่าฮาร์คไลท์มาเยี่ยมพร้อมกับนำจดหมายฉบับหนึ่งจากยูกิมา เล่าว่าตัวเองกำลังจะแต่งงาน หลังจากพบรักกับวิศวกรคนหนึ่ง ถัดจากนั้นไม่กี่เดือนยังส่งภาพถ่ายงานแต่งมาให้ด้วย สเลนจำได้ว่าวันนั้นอินาโฮะดูอารมณ์ดี ดวงตาฉายแววความสุขออกมาแต่ก็แอบแฝงความเสียดายที่ไม่ได้ไปร่วมงานด้วยตัวเอง

สเลนในตอนนั้นไม่รู้จะปลอบใจยังไงนอกจากยอมตามใจอีกฝ่ายทั้งวัน ผลก็คือวันต่อมาถึงกับลุกไม่ขึ้น

“พอดีฉันอยากให้คุณอานาโอะคุงได้เจอหลานสักหน่อยนะจ้ะ” ยูกิอธิบาย “ดูสิ คลอดออกมาแล้ว มีส่วนคล้ายกับนาโอะคุงนิดหน่อย ฉันคิดถึงเลยให้มาช่วยเลี้ยงซะให้เข็ด”

ฟังแล้วก็จริง หนูน้อยฮิเมะมีดวงตากลมโตสีน้ำตาล เส้นผมสีดำสนิท แต่ใบหน้ากลับดูเฉยชาไร้อารมณ์ชวนให้นึกถึงอินาโฮะจริง ๆ

ฮาร์คไลท์กลอกตาเล็กน้อยเพราะเขาตกเป็นเหยื่อใช้งานให้ยูกิอีกครั้ง เวลาลงมาที่โลกทีไร ถ้าเจอยูกิล่ะก็จะถูกวานให้ส่งจดหมายให้น้องชายตลอด ส่วนยูกิก็พกจดหมายติดตัวตลอดเวลาเผื่อว่าเจอฮาร์คไลท์โดยบังเอิญจะได้ไหว้วานทันใจ การรู้จักกันแบบนี้สร้างความสัมพันธ์อันดีแบบแปลก ๆ ระหว่างชาวเวิร์สและชาวโลกขึ้นมา

ดังนั้นพอยูกิตามตื๊อขอให้อาหลานได้เจอกัน ฮาร์คไลท์ก็เลยใจอ่อน

ได้เห็นหนูน้อยใกล้ ๆ อารมณ์ร้อนพลุ่งพล่านของสเลนเมื่อครู่ก็เหมือนโดนน้ำสาดจนดับมอด ใจอ่อนยวบยามสบนัยน์ตาใสแจ๋วของเด็กน้อย ปากและจมูกจิ้มลิ้มน่ารักน่าชัง แล้วยังมีแก้มนิ่ม ๆ ชวนบีบน่ามันเขี้ยว

“สวัสดีครับ ฮิเมะจัง”

สเลนก้มลงไปทักทาย จับมือป้อมเล็กน่ารักเอาไว้ เด็กสาวใช้นิ้วจิ๋ว ๆ ของตัวเองกำรอบปลายนิ้วชี้เขาทีหนึ่ง แล้วร้องอ้อแอ้ออกมา ไม่กลัวคนแปลกหน้าซะด้วย

เพราะสามีของยูกิต้องไปทำงานต่างจังหวัดเป็นการชั่วคราว ยูกิเลยถือโอกาสอาศัยช่วงที่สามีไม่อยู่หอบลูกออกมาเยี่ยมน้องชายที่ไม่ได้เจอกันนานถึงที่นี่ อยากจะให้อาหลานได้เจอกันบ้าง ออกจะละอายใจเล็กน้อยเพราะต้องขอความช่วยเหลือจากฮาร์คไลท์ตามเคย สภาพเหมือนหอบลูกหนีไปกับชู้ทำให้ยูกิไม่กล้าอยู่ยาวจึงหักใจมาค้างแค่สามวัน

ฮาร์คไลท์เอง ระหว่างสามปีมานี้ต้องคอยทำหน้าที่เป็นนกฮูกส่งจดหมาย ถึงจะญาติดีกับยูกิขึ้นมานิดหน่อย แต่ก็ไม่พร้อมจะเป็นชายชู้ของใคร การมาเยี่ยมสเลนครั้งนี้เลยรู้สึกเหมือนมีชนักติดหลังชอบกลที่แอบพาลูกเมียเขาหนีมา ชายหนุ่มไม่กล้าอยู่นาน พอส่งยูกิเสร็จก็บินกลับไปเลย บอกว่าอีกสองวันจะมารับ

ที่จริงวันนี้เป็นเวรทำอาหารของสเลน แต่พอยูกิมา อินาโฮะก็เลยถือโอกาสเข้าครัวทำอาหารให้พี่สาวที่ไม่ได้เจอกันนานได้ทานให้หายคิดถึง ส่วนยูกิก็ต้องเตรียมอาหารเด็กสำหรับฮิเมะเหมือนกัน สเลนเลยกลายเป็นพี่เลี้ยงเด็กจำเป็นชั่วคราว

ร่างโปร่งนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น สองมือกำไว้ตรงหน้าขา ประจันหน้ากับเด็กน้อยที่นั่งเล่นอยู่บนพื้นเช่นกัน ดวงตาสีน้ำทะเลสบดวงตาสีแดงใจแจ๋วของฮิเมะ สเลนผู้ไม่เคยเลี้ยงเด็กรู้สึกเหงื่อตก ชายหนุ่มหันไปค้นกล่องของเล่นที่ยูกิพกมาด้วย ก่อนหยิบที่เขย่ามือขึ้นมา เสียงกรุ๊งกริ๊งเล็ก ๆ เรียกความสนใจของเจ้าตัวน้อยได้ทันที ดวงตาหันมองตาม ริมฝีปากเล็กกระจุ๋มกระจิ๋มคลี่ออกเป็นรอยยิ้มน่ารัก มือป้อมเอื้อมมือคว้าจับแล้วเอาไปเขย่าเอง

เด็กน้อยหัวเราะคิกคักอยู่คนเดียว ส่งเสียงอ้อแอ้ไปด้วย เขย่าของเล่นไปสักพักก็ปล่อยทิ้งพื้น แล้วทำท่าจะลุกขึ้นยืน

สเลนเบิกตาอย่างระวังตัว เขาไม่มีความรู้เรื่องเด็กทารกมาก่อนเลยไม่แน่ใจว่าตอนนี้เด็กอายุหนึ่งขวบเดินได้หรือยัง แต่หลังจากจับตามองอย่างใกล้ชิดฮิเมะก็สามารถยืนขึ้นมาได้

“เก่งมากเลยฮิเมะจัง” สเลนส่งเสียงร้องพลางตบมือเป็นกำลังให้แปะ ๆ แต่สายตายังไม่ละไปจากร่างตุ้ยนุ้ยสองแขนป้อมกางออกราวกับนกเพื่อทรงตัว ก่อนจะเดินเตาะแตะมาทางเขา แล้วทิ้งตัวลงบนตักเหมือนหมดแรงซะเฉย ๆ ทำเอาคนที่คอยมองอยู่ใจหายใจคว่ำ

“ตา ตา!” ขณะที่อีกคนใจหายใจคว่ำ เด็กน้อยกลับจ้องใบหน้าเขาไม่วาง นิ้วชี้มายังดวงตาของเขา

“นี่เหรอ” สเลนชี้ตาของตัวเอง แล้วยิ้ม “ตาสีฟ้าไง สวยมั้ยคะ”

“ฉวย”

“สวยค่ะ” สเลนแก้คำ แต่ยังไงฮิเมะก็ยังออกเสียงผิดอยู่ดี เขาจึงปล่อยเลยตามเลย ถ้าโตกว่านี้เด็กน้อยคงเรียนรู้ได้เอง

ระหว่างนั้นฮิเมะก็เริ่มซน พยุงตัวยืนขึ้นมาทั้งที่อยู่บนตักจนสเลนต้องรีบประคองไว้เพราะกลัวเด็กน้อยจะหล่นตุ้บลงไป ในจังหวะที่เผลอ มือน้อย ๆ ก็คว้าปลายผมสีอ่อนของสเลนไว้แล้วดึงอย่างไม่รู้จักออมแรง

“โอ๊ย ๆ ฮิเมะจัง”

“ฮิเมะ! ตายแล้ว” ยูกิที่ถือชามข้าวออกจากครัวมาร้องตกใจเมื่อเห็นลูกสาวตัวเองกำลังตั้งอกตั้งใจดึงผมสเลนจนชายหนุ่มน้ำตาแทบเล็ด คนเป็นแม่รีบวิ่งมาช่วยสเลนแกะมือลูกสาวตัวดีออกก่อนที่ผมสีบลอนด์นั้นจะหลุดเป็นรูโหว่กลางกระหม่อม

“ทอง ๆ” ฮิเมะคว้าเศษผมไปได้นิดหน่อย มองดูมันอย่างสนใจแล้วชูอวดคุณแม่โดยที่มีใครอีกคนหนึ่งกำลังนั่งน้ำตาเล็ดอยู่อีกมุม “ทอง ๆ”

“ขอโทษนะสเลน” ยูกิเหงื่อตกกับความซนของลูกสาว “ฮิเมะจัง จะดึงแบบนี้ไม่ได้นะ พี่สเลนเจ็บนะรู้มั้ย”

“เจ็บ ๆ”

“ใช่ เจ็บ ๆ อาสเลนเสียใจ หนูต้องทำยังไงคะ”

ฮิเมะใช้ดวงตากลมโตมองไปทางคนผมทองอย่างครุ่นคิด ปีนลงจากตักแม่แล้ววิ่งเตาะแตะไปหาจนสเลนใจหายวูบเกือบรับไว้ไม่ทัน เด็กน้อยปีนขึ้นไปเกาะตักคุณอาผมทอง แล้วซุกตัวอยู่ในอ้อมอก พร้อมกับยกนิ้วก้อยให้

“ดี ๆ”

สเลนหลุดยิ้มออกมา อายุเท่านี้ยังพูดได้ไม่เยอะสินะ ชายหนุ่มโอบเจ้าตัวน้อยไว้แล้วส่งนิ้วก้อยตัวเองเข้าไปเกี่ยว

“ดีกันครับ”

“แหะ ๆ”

อินาโฮะที่ออกจากครัวยืนมองอยู่สักพักแล้วยิ้มออกมาเล็กน้อย ร่างสูงเข้ามาวางอาหารบนโต๊ะ “มากินข้าวกันเถอะ”

.

.

.

มื้อค่ำผ่านพ้นไป สเลนรับหน้าที่เก็บจานทั้งหมดไปล้าง ให้เวลายูกิอยู่กับลูกสาว และคุณอาหนุ่มได้อยู่กับหลานสาว มือบางสะบัดน้ำให้หมาดเล็กน้อยแล้วจึงเช็ดกับผ้าให้แห้ง หลังดูแลห้องครัวจนสะอาดแล้วร่างโปร่งก็เดินออกมา

ในตอนนั้นเองดวงตาสีน้ำทะเลก็เห็นอินาโฮะกำลังยืนอยู่กลางห้อง อุ้มเด็กน้อยไว้ในอ้อมอกพร้อมกับเขย่าของเล่นในมือไปด้วย บางทีก็เอาของเล่นเข้ามาใกล้ บางทีก็ขยับออกไปให้ฮิเมะเรียกหา คุณอามือใหม่ดูสนใจปฏิกิริยาของหลานสาวตัวน้อยมาก แม้ใบหน้าจะนิ่งแต่ดวงตากลับจับจ้องไม่วาง

“อ๊ะ ระวัง!”

สเลนร้องออกมาอย่างตกใจ เพราะเด็กน้อยดูเหมือนจะหมดความอดทนพยายามดิ้นออกจากอ้อมแขนจนอินาโฮะจับไว้ไม่อยู่ อีกฝ่ายช้อนตัวเด็กสาวไว้ทัน แต่กลับเสียหลักล้มลง สเลนรีบพุ่งเข้าไปใช้ตัวเองเป็นเบาะรองรับเด็กน้อย รู้สึกจุกเล็ก ๆ จากน้ำหนักที่โถมลงมาไม่ทันตั้งตัว

“อูย…”

“คิก ๆๆ แหะ” เสียงหัวเราะของฮิเมะดังอยู่ข้างหูดูสนุกไม่ได้รู้เรื่องราว แสดงว่าไม่ได้บาดเจ็บตรงไหน สเลนถอนหายใจอย่างโล่งอก เงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็สบสายตาเข้ากับอินาโฮะที่อยู่ด้านบน

ใบหน้าที่นิ่งเฉยตลอดของอินาโฮะดูมีแววตกใจอย่างเห็นได้ชัดจากเหตุการณ์เมื่อครู่ มือของเขายังโอบประคองศีรษะฮิเมะค้างไว้เพื่อปกป้อง ส่วนแขนอีกข้างใช้ค้ำยันพื้นข้างศีรษะของสเลนเพื่อทรงตัวเกร็งจนเห็นกล้ามเนื้อเด่นชัด

“โชคดีที่นายมา” คนข้างบนพูด ถอนหายใจอย่างโล่งอก ปล่อยเด็กหญิงในอ้อมอกให้นอนแหมะอยู่บนตัวสเลนไปทั้งตัว

“ฮะ ๆๆ ยินดีครับ” สเลนหัวเราะเล็กน้อย เห็นอีกคนเอาแต่มองเขาโดยไม่ทีท่าทีจะลุกจึงเอ่ยทัก “คุณลุกไม่ขึ้นเหรอ?”

“เมื่อตอนเย็น นายคิดว่าผมจะนอกใจเหรอ”

โดนถามแบบนี้โดยไม่ทันตั้งตัวทำเอาสเลนถึงกับไปไม่ถูกจนเผลอหลบตาอีกฝ่าย นึกถึงเหตุการณ์ที่โวยวายหัวร้อนก็รู้สึกอับอายขึ้นมา “ก็… เปล่าซักหน่อย คุณลุกออกไปได้แล้วครับ”

ดูเหมือนคำตอบจะไม่เป็นที่น่าพอใจเท่าไหร่อินาโฮะถึงได้ไม่ยอมขยับและยังคงจ้องมองอยู่แบบนั้น ส่วนฮิเมะดูเหมือนจะว่าชอบเวลาคุณอาสองคนอยู่ด้วยกันแบบนี้เพราะเด็กสาวรู้สึกถึงอุณหภูมิอุ่น ๆ น่านอนมากจึงซุกอกสเลนเตรียมหลับหลังจากเพลียมาทั้งวัน

สเลนเหลือบมองร่างบนอก มีก้อนน้อย ๆ มานอนทับก็รู้สึกหายใจลำบากอยู่แล้ว ยังโดนสายตาคาดคั้นจากคนรักอีก คนผมบลอนด์เอามือตบก้นเด็กน้อยเบา ๆ เป็นการลดความประหม่า

“เอ่อ…ผมตกใจ เพราะว่าฮิเมะจังหน้าเหมือนคุณน่ะ แต่พอดูดี ๆ ก็ไม่เหมือนขนาดนั้น ฮะๆ”

“…”

“คุณ…คุณคิดดูสิ วันนี้ที่ห้องสมุดมีคนมาถามเรื่องคุณพอดี ดูเขาจะสนใจคุณอยู่…”

“ใคร?” อินาโฮะถามทันที

“คุณเมลานี่น่ะ… อ้อ ไม่ใช่เธอสนใจคุณในแง่นั้นหรอกนะ แค่ถามเผื่อลิซ่าน่ะ”

“ลิซ่าคือใคร?”

“…ลูกสาวเธอไงเล่า ร้านที่เราไปซื้อขนมปังบ่อย ๆ”

“ผมไม่ได้สนใจเธอ” อินาโฮะว่า ร่างด้านบนขยับตัวลงมาใกล้จนวางศอกลงบนพื้นทำให้ระยะห่างระหว่างพวกเขาลดลง ลมหายใจร้อนรดใบหน้าของสเลนที่เริ่มขึ้นสีระเรื่อ มืออีกข้างลูบหลังฮิเมะบนอกสเลนเบา ๆ คล้ายจะกล่อมให้หลับแล้วถาม “แล้วยังไงต่อ?”

จมูกได้กลิ่นกายคุ้นเคยจากอีกฝ่ายชวนให้มึน ๆ เบลอ ๆ ยังไงชอบกล

“เธอ…เธอแค่ถามว่าคุณมีคนที่ชอบหรือยัง วัยอย่างคุณน่าจะมีครอบครัวได้แล้ว”

“ดังนั้น…?”

ทอดน้ำเสียงถามต่ออย่างเนิบนาบราวกับกำลังต้อนเขาจนมุม สเลนรู้สึกว่าท่านี้มันไม่ค่อยปลอดภัยเอาซะเลย ดวงตาสีแดงนั้นดูเรียบนิ่งทว่ากลับมีประกายชวนไม่น่าไว้ใจ แต่เขาไม่รู้จะทำยังไงในเมื่อคนด้านบนไม่ขยับออก แถมฮิเมะก็ยังอยู่บนอก

“ดะ…ดังนั้นผม… ตอนที่เห็นคุณกับฮิเมะก็เลยตกใจ มองแว่บแรกนึกว่าพ่อลูกกันแน่ะ ฮะ ๆๆ” พูดแล้วก็หัวเราะเจื่อน ๆ กลบเกลื่อน “คุณ…ไม่โอเคเหรอ”

“ไม่มีอะไรร้ายแรงเท่ากับที่นายสงสัยในความรู้สึกของผมแล้วล่ะ” อินาโฮะว่าเสียงเรียบ สเลนอ้าปากค้าง

“ผมเปล่า!” สเลนปฏิเสธทันควัน “เพียงแต่…”

ความสัมพันธ์ของพวกเขามันเริ่มต้นแบบแปลก ๆ เจอกันตอนที่เป็นศัตรู ต่อสู้กันมาจนอีกฝ่ายหนึ่งพ่ายแพ้ ฉุดรั้งให้มีชีวิตอยู่ โอบกอดเพื่อปลอบใจ พัวพันจนเลยเถิด …ไม่ใช่ความสัมพันธ์ในแบบปกติอย่างที่คนทั่วไปจะมี แถมยังเป็นความรักระหว่างเพศเดียวกัน

เริ่มแรกสเลนไม่รู้สึก แต่เมื่อมีคนสะกิดเขาก็อดคิดไม่ได้ว่าความสัมพันธ์ของพวกเขามันจะยืนยาวได้แค่ไหน?

เคยพูดเอาไว้ว่าคนอย่างอินาโฮะควรจะติดอยู่กับเขาไปจนแก่ แต่…ระหว่างทางนั้นล่ะ?

เขาเลยช่วงเวลาที่จะมานั่งสับสนแล้วว่าตัวเองมีรสนิยมแบบไหน ชอบผู้ชายหรือผู้หญิง ไม่จำเป็นต้องคิดเรื่องทายาทสืบสกุล แค่ใช้ชีวิตให้สงบและเรียบง่ายก็เพียงพอแล้ว แต่อินาโฮะล่ะ… สเลนดึงอีกฝ่ายมาอยู่ที่นี่ด้วยความเอาแต่ใจ ไม่เคยรู้เลยว่าอินาโฮะอาจเคยวาดฝันถึงการมีครอบครัว เป็นคุณพ่อ หรือคิดถึงอนาคตไว้ยังไง

อินาโฮะมองออกว่าคนใต้ร่างมีบางอย่างไม่สบายใจ ดังนั้นแม้จะรู้สึกกรุ่นอยู่หน่อย ๆ แต่ชายหนุ่มก็ยังอดทน มองสเลนสูดหายใจเข้าอย่างยากลำบาก

“อินาโฮะ…เราไม่เคยคุยกันเรื่องนี้สักครั้ง… ผมเป็นผู้ชาย คงจะ…มีลูกให้คุณไม่ได้หรอกนะ”

หลังพูดจบทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ ราวกับมีใครสักคนขโมยลมหายใจของพวกเขาไป ในที่สุดร่างด้านบนก็ขยับตัวลงจากสเลน เปลี่ยนไปนอนตะแคงข้างตัวอยู่บนพื้นพรม โดยที่มือหนึ่งยันศีรษะไว้ ส่วนอีกมือคล้ายกับว่าโอบทั้งสเลนและฮิเมะไว้ในอ้อมกอด

มองดวงตาที่กำลังสั่นไหวแล้วถามกลับ

“ผมดูอยากมีลูกงั้นเหรอ”

“…” สเลนรู้สึกหายใจคล่องขึ้นบ้าง โดนถามเข้าไปแบบนั้นก็ครุ่นคิดเล็กน้อย “ฮะ ๆ ก็ไม่นะ แต่ว่า…ภาพคุณเวลาอยู่กับฮิเมะก็น่ารักดี เลยทำให้ผมคิดว่าคุณต้องเป็นพ่อที่ดีแน่”

“เหมือนกันเลย…”

“หืม?”

“เวลานายอยู่กับฮิเมะก็น่ารักดีเหมือนกัน”

น่ารัก…

สเลนทวนคำในใจ เขาไม่เคยโดนอีกฝ่ายชมแบบนี้มาก่อนจึงรู้สึกขัดเขินจนไม่กล้ามองหน้าอินาโฮะ แสร้งสนใจเด็กบนอกแทน

“งั้นเหรอครับ.. ก็ฮิเมะน่ารักนี่นา”

“แล้วนายล่ะ อยากเป็นคุณพ่อเหรอ?”

สเลนนอนมองเพดาน ส่ายหัวไปมา “ผมไม่เคยคิดเรื่องนั้นนะ”

“ผมก็ไม่เคย” เจ้าของนัยน์ตาสีฟ้าน้ำทะเลหันไปมองคนพูดทันที ในอกที่เคยมีอะไรถ่วงตอนนี้โล่งสบายราวกับว่าความกังวลทั้งหมดในวันนี้ถูกอีกฝ่ายพัดหายวับไปจนหมด

นั่นสินะ เขาจะกังวลไปทำไม อินาโฮะซื่อตรงกับความต้องการของตัวเองมาเสมอนี่นา

คิดพลางอมยิ้มอย่างอดไม่อยู่ มองคนด้านข้างพลิกตัวขึ้นมาด้านบนอีกครั้ง ในใจพลันรู้สึกหวานปะแล่ม ๆ เมื่อถูกจ้องมองด้วยแววตาอันคุ้นเคย ลมหายใจร้อนคลอเคลียอยู่ข้างแก้มยามอีกฝ่ายโน้มตัวลงมาทำให้สเลนย่นคอเล็กน้อยเพราะรู้สึกจั๊กจี้แต่กลับไม่มีท่าทีต่อต้าน อยู่ด้วยกันมาสามปี ตอนนี้เขาเริ่มชินกับการแสดงความรักไปโดยปริยาย

“แต่…ตอนนี้ผมเริ่มจะคิดขึ้นมาแล้ว”

“เอ๋…?”

“อุ๊ย! ว๊ายยย!”

ไม่ทันจะให้เวลาสเลนตกใจกลับมีเสียงอุทานของยูกิดังขัดซะก่อน สองคนบนพื้นหันไปมองต้นเสียง เห็นหญิงสาวยืนปิดปากเบิกตาโตอยู่ตรงทางเดิน จ้องมองพวกเขาที่อยู่ในสภาพล่อแหลมด้วยใบหน้าแดงก่ำและสับสน

สเลนหน้าซีดลงขณะที่อินาโฮะไม่มีท่าทีตกใจ นอกจากถอนหายใจที่ถูกขัดจังหวะเล็กน้อยเท่านั้น และยอมขยับออกแต่โดยดี

“นี่มันอะไรกันเนี่ย!”

.

.

.

TBC

——————————–

Talk

คือตอนแรกน่ะค่ะ … อยากจะเขียนซีนแง่งอนของสองคนนี้สักหน่อย เป็นตอนเดียวจบสั้น ๆ ค่ะ

ไม่รู้ทำไมมันไม่จบสักทีค่ะ มันงอกได้ยังไง ดิฉันงง

เราเริ่มเขียนจากไม่ได้มีพล็อตอะไรเลย แต่อารมณ์ก็พาให้เขียนเหตุการณ์ถัด ๆ มาเฉย เหมือนมันอยากเล่าไปเอง

ไม่รู้ทุกคนรู้สึกไหม ในฟิคนี้หลัง ๆ อินาโฮะให้บรรยากาศที่อ่อนโยนและนุ่มนวลขึ้น เราไม่รู้นี่จะเรียกว่า OOC ไหมนะ แต่สำหรับเรา นี่น่าจะเป็นพัฒนาการตัวละครของอินาโฮะในฟิคของเราค่ะ

การใช้ชีวิตอยู่กับสเลนและพรากจากยูกิ คงทำให้เขาสัมผัสและเข้าถึงอารมณ์หลาย ๆ อย่างมากขึ้น ทำให้เขาอยากถนอมคนสำคัญให้มากในช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกัน โดยที่เขาก็ไม่ได้ละทิ้งนิสัยเดิมหรอก 

สเลนก็เริ่มมีพัฒนาการนะคะ! รับมือกับความลาโม๊— แค่ก ๆๆๆ ของอินาโฮะได้ตั้งเยอะแน่ะ!

ฟิคนี้เราอาจจะเรียงคำแปลก ๆ ขออภัยด้วยค่ะ ช่วงนี้เหมือนคิดอะไรไม่ค่อยทัน แล้วก็ ฉากเลิฟซีน…(ในอนาคต) เราไม่เคยติด Trigger warning เลยแล้วก็รู้จักแค่ไม่กี่คำ แต่พยายามติดให้ ไม่แน่ใจว่าตรงไหนต้องใช้อะไร ดังนั้นถ้าบกพร่องตรงไหนก็แนะนำด้วยนะคะ 55555

ยังเขียนไม่จบ แต่เอามาลงให้ทุกคนก่อน อยากให้มีความสุข มีกำลังใจค่ะ! ยอมรับว่านี่เป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากมาก เพราะเราเองก็กำลังต่อสู้กับสุขภาพจิตที่ขึ้น ๆ ลง ๆ ตลอดอยู่เช่นกัน แถมยังไม่ได้ฉีดวัคซีนเลยสักเข็ม ฮือ ๆ ขอให้ทุกคนปลอดภัยนะคะ สุขภาพแข็งแรง รักษาตัวดี ๆ ค่ะ อยากจะให้สถานการณ์มันดีขึ้นเร็ว ๆ จังเลย

พบกันตอนหน้า