[A/Z Fic] Are you my…? : 1 [Inaho x Slaine]

Title : Are you my…?

Fandom : Aldnoah.Zero

Pairing : Kaitsuka Inaho x Slaine Troyard

Rating : PG-13

Warning : *Spoil ss1*

——————————————————————

(1)

.

.

.

พวกเราพบกันท่ามกลางสงคราม

ต่างยืนอยู่คนละฝ่าย

หันปลายปากกระบอกปืนใส่กันแทนคำทักทาย

เพื่อหญิงคนสำคัญเพียงหนึ่งเดียว

..
มีเสียงฝีเท้าดังมาจากทางเดินข้างนอก แม้ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าใครที่กำลังเดินมาข้างหลัง อีกไม่กี่วินาทีต่อมาจะต้องเป็นเสียงบ่นแน่นอน

“โธ่..พี่บอกกี่ครั้งแล้วว่าไม่ต้องลุกขึ้นมาทำอาหารเช้าก็ได้ ยังไม่หายดีแท้ๆ”

“อรุณสวัสดิ์ครับพี่ยูกิ” คนถูกบ่นทำเหมือนหูทวนลม กล่าวอรุณสวัสดิ์พี่สาวเอาดื้อๆ หันไปมองยูกิแว่บหนึ่งแล้วกลับมาสนใจออมเล็ตในกระทะตามเดิม

นี่เป็นชีวิตประจำวันตามปกติของสองพี่น้องไคซึกะ แต่ยังมีสิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไป เมื่ออินาโฮะหันกลับมาพร้อมออมเล็ตในจาน เด็กชายในวัย 15 ปีที่เป็นแค่นักเรียนเตรียมทหารก็หายไปแล้ว คนตรงหน้าของเธอคือเด็กหนุ่มที่ผ่านสนามรบจริงมา พร้อมผ้าคาดตาข้างซ้ายอันเป็นหลักฐานถึงความสูญเสียในครั้งนั้น

ไคซึกะ ยูกิผู้เป็นพี่สาวมองน้องชายที่ขะมักเขม้นกับการตัดเตรียมอาหารเช้าเช่นทุกวันด้วยนัยน์ตาเศร้าสร้อย

หกเดือนแล้วหลังจากเหตุการณ์การสู้รบที่ปราสาทของเค้าท์ซาสบาล์มจบลงพร้อมการเสียชีวิตของทหารหลายนายจากทั้งสองฝ่าย ในครั้งนั้นอินาโฮะ น้องชายของเธอเป็นผู้ขันอาสาพาองค์หญิงอัสเซลัมไปปิดโนอาร์ไดร์ฟด้วยตัวเอง ทว่าเส้นทางไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ องค์หญิงอัสเซลัมซึ่งถูกยิงเข้าที่กระดูกสันหลังต้องเป็นอัมพาตครึ่งล่างและนั่งรถเข็นตลอดชีวิต ส่วนอินาโฮะสูญเสียดวงตาข้างซ้ายไป

ยูกิเม้มปากเข้าเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ รู้สึกโกรธแค้นแทนน้องชายที่ตื่นขึ้นมาพบว่าตาข้างหนึ่งของเขาจะมองไม่เห็นอีกแล้ว แต่ก็ยังทำหน้าเมินเฉยราวกับเห็นมันเพียงเรื่องเล็กเหมือนทำของไม่สำคัญหล่นหายไปสักชิ้น  แต่เธอก็ไม่รู้จะระบายความโกรธในใจนี้ได้ยังไงแม้รู้อยู่แก่ใจอยู่แล้วว่านี่เป็นเรื่องปกติที่จะได้พบเจอในสงคราม

“พี่ยูกิ” เสียงเรียกของน้องชายทำให้เธอหลุดออกจากภวังค์ พบว่าอินาโฮะนั่งอยู่ตรงข้ามเตรียมทานเข้าแล้ว “ถ้าไม่รีบทานมันจะเย็นหมดนะครับ ”

“จ้าๆ”

ความโกรธแค้นในใจยังคงอยู่

แต่ขอเพียงแค่น้องชายของเธอยังมีชีวิตอยู่ตรงหน้า ยูกิก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว

.

.

.

ไคซึกะ อินาโฮะเดินนำคณะเยี่ยมชมชาวโลกด้วยสีหน้านิ่งสนิท ขณะที่อิงโกะและคาล์มดูกำลังตื่นตาตื่นใจกับบรรยากาศการมาเยือนดาวอังคารเป็นครั้งแรกในชีวิต ยูกิที่เดินอยู่ข้างๆ เองก็มีท่าทีตื่นสถานที่เล็กน้อย

หลังสงครามจบ เมื่อความจริงเรื่องการกบฎของเคานต์ซาสบาล์มถูกเปิดเผย และจักรพรรดิแห่งเวิร์สได้ฟังความจริงทั้งหมดจากปากหลานสาวผู้รอดชีวิต องค์หญิงยืนกรานอย่างเด็ดขาดเรื่องการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างโลกและดาวอังคาร องค์จักรพรรดิทรงเห็นแก่ที่สหพันธ์โลกช่วยเหลือหลานสาวคนเดียวของตน แม้จะชังน้ำหน้าชาวโลกมากเพียงไหนก็ทรงยอมเลิกรา และเยียวยาบาดแผลที่คนของพระองค์สร้างขึ้น

“ชิ ทำไมเราจะต้องต้อนรับพวกแกขึ้นมาด้วย” เสียงพึมพำอย่างไม่พอใจจากทหารนายหนึ่งที่กำลังนำพวกเขาไปหาอัสเซลัม คาล์มขมวดคิ้วแทบจะถลาไปต่อยหน้าทว่าอิงโกะห้ามเอาไว้แม้เธอเองก็ไม่พอใจอยู่ลึกๆ

อินาโฮะยังมีสีหน้าเรียบไม่เปลี่ยน

แม้อัสเซลัมจะพยายามเชื่อมความสัมพันธ์กับโลกมากเท่าไหร่ แต่อคติที่ฝังรากลึกในใจชาวเวิร์สมานานก็ยากที่จะเปลี่ยนแปลง พวกเวิร์สยังมองชาวโลกเป็นแมลงตัวหนึ่งที่สมควรถูกควบคุมมากกว่าการสานสัมพันธ์

คงมีเพียงอัสเซลัมเพียงคนเดียวในเวิร์สแห่งนี้ที่ต้องการเป็นมิตรกับพวกเขา

นายทหารหยุดลงหน้าประตูบานใหญ่ “แขกมาถึงแล้วครับองค์หญิง”

“ค่ะ”

เพียงได้ยินเสียงคำรับ เขาก็เปิดประตูเชิญพวกอินาโฮะเข้าไปก่อนจะทำความเคารพองค์หญิงแล้วจากไป

“คุณอินาโฮะ”

อัสเซลัมอยู่ในชุดประจำตัวสีขาวสะอาด ดวงตาสีเขียวเป็นประกายดีใจจ้องมองมาพร้อมรอยยิ้มที่มีประดับบนใบหน้าเสมอ แม้ยามนี้ตัวเธอจะนั่งอยู่บนรถเข็นก็ตาม แต่ร่องรอยความสดใสร่าเริงและเข้มแข็งก็ไม่ได้ลดน้อยลงไปเลย เรือนผมยาวสีทองอร่อมมวดรวบขึ้นศีรษะปล่อยปอยผมลงข้างแก้มด้านหนึ่ง ข้างๆ กันมีเด็กหญิงร่างเล็กเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนยืนคอยปรนนิบัติ นัยน์ตาสีม่วงของเด็กน้อยแสดงความดีใจอย่างมากที่ได้พบกัน แม้เธอจะทำสีหน้าเรียบเฉยเอาไว้ก็ตาม ด้วยศักดิ์ของชาวเวิร์สที่ยึดถือเธอไม่มีทางแสดงความดีใจออกไปแน่

“ยินดีต้อนรับค่ะทุกคน”

“โหววววววว” คาล์มลากเสียงยาวจนเมินเสียงต้อนรับของเอเดลริซโซ่ เมื่อพบว่าพื้นห้องรับรองที่พวกเขายืนอยู่นั้นเป็นกระจกใส บรรยากาศข้างนอกคือห้วงอวกาศอันเวิ้งว้าง สิ่งเดียวที่มองเห็นชัดเจนที่สุดคือโลกของพวกเขาที่ส่องสว่างอยู่ท่ามกลางความมืดมิด เป็นความสวยงามที่ถ้าไม่ได้มายืนอยู่บนนี้ไม่มีวันได้สัมผัส แม้แต่อินาโฮะยังเบิกตากว้างด้วยความแปลกใจเพราะไม่คิดว่าจะได้มาเห็นภาพแบบนี้

“สวยจังเลย…”  อิงโกะชมบรรยากาศของโลกแล้วยิ้มกว้างออกมา

“สวัสดีครับคุณเซลัม” อินาโฮะกล่าวคำทักทาย

“สวัสดีจ้าเซลัมจัง”

“คุณยูกิ คุณคาล์ม คุณอิงโกะ ทุกคนสบายดีนะคะ เชิญนั่งเลยค่ะ”

พวกเขายิ้มให้เซลัม

“พวกเราสบายดีจ้ะ ว่าแต่เซลัมจังเถอะ” ยูกิเข้าไปนั่งลงใกล้ๆ อัสเซลัมซึ่งทำให้เอเดลริซโซ่รู้สึกไม่พอใจอย่างมาก ที่ชาวโลกอย่างพวกเขานอกจากจะไม่ทำความเคารพต่อองค์หญิงแล้วยังถือวิสาสะมานั่งเสมอตัว

“นี่เจ้า! อย่ามาทำตัวเสมอกับองค์หญิงนะ!”

“เอเดลริซโซ่จ้ะ” อัสเซลัมขัดขึ้น หันไปมองเด็กรับใช้ส่วนตัวด้วยรอยยิ้ม “ช่วยเตรียมน้ำชากับขนมให้พวกคุณอินาโฮะด้วยนะคะ”

“รับทราบค่ะองค์หญิง” ไม่ต้องให้เอ่ยซ้ำ เอเดลริซโซ่หยุดโวยวายทันทีราวกับโดนปิดสวิสต์ เด็กสาวหันไปจัดเตรียมขนมรับแขกทันที

ทุกคนอาศัยจังหวะนั้นหาที่นั่งให้ตัวเอง เมื่อเด็กสาวหันมาอีกทีเธอก็ได้แต่ทำหน้าไม่พอใจอย่างเงียบๆ แต่มือยังเสิร์ฟขนมให้แขกอย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง

อัสเซลัมมองตามเอเดลริซโซ่ด้วยความเอ็นดู ก่อนหันกลับมายังเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาล เมื่อเห็นผ้าคาดตาสีดำที่ปิดตาซ้ายไว้ นัยน์ตาก็อ่อนแสงลงอย่างรู้สึกผิด เธอได้ยินข่าวเรื่องอินาโฮะมาบ้างและรู้สึกมีส่วนรับผิดชอบในการสูญเสียของเขาอยู่ตลอด  ตอนอยู่บนโลก เธอสร้างเรื่องปวดหัวให้เขามากมายเหลือเกินและนี่เขายังต้องมาเป็นแบบนี้เพราะเธออีก “คุณอินาโฮะ ต้องขอโทษนะคะเพราะฉันแท้ๆ”

“ไม่ใช่เพราะคุณเซลัมหรอกครับ อีกอย่าง อาทิตย์หน้าผมก็จะได้ตาเทียมแล้วล่ะ”  อินาโฮะไม่ได้ปลอบใจ เพราะมันคือความจริงที่มีเพียงเขาคนเดียวที่รู้ เขาไม่ได้ถือโทษเธอเลย แถมยังรู้สึกด้วยซ้ำว่าซึ่งที่เขาเป็นน้อยนิดกว่าเธอยิ่งนัก ทว่าอัสเซลัมผู้ซึ่งไม่รู้เรื่องย่อมไม่ได้คิดเช่นนั้น

“คุณต้องเจ็บตัวเพราะฉัน แถมฉันก็ไม่ได้ลงไปเยี่ยมอีก”

“องค์หญิง…”  เอเดลริซโซ่ขานเรียกอย่างเศร้า ก่อนจะปรับน้ำเสียงให้ร่าเริง “ยะ อย่าโทษตัวเองแบบนั้นสิคะ ไม่ใช่เรื่องที่องค์หญิงอยากให้เกิดสักหน่อย”

“ใช่แล้วล่ะคุณเซลัม!” คาล์มเอ่ยสนับสนุนอย่างกระตือรือล้น จนอิงโกะยังแอบหมั่นไส้ไม่ได้

“อ๊ะ เอเดลริซโซ่จัดของว่างเพิ่มอีกที่นึงด้วยนะ”

“เอ๊ะ ? แต่มากันแค่สี่คนนี่คะ” เด็กสาวทำหน้าแปลกใจ

ไม่ทันไรเสียงเคาะประตูห้องรับรองก็ดังขึ้น “องค์หญิงครับ”

.

.

.

บุคคลที่นั่งอยู่ในห้องรับรองแขกทำให้สเลน ทรอยยาร์ดชะงักไปด้วยความแปลกใจ แต่ความตกใจนั้นมีมากกว่า ทุกคนในห้องหันมามองเขาอย่างสนใจ คนเดียวในห้องที่ครองสายตาเขาไปได้มากที่สุดไม่ใช่องค์หญิงอัสเซลัมที่เขารักและเทิดทูนยิ่งกว่าชีวิต ทว่ากลับเป็นเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลที่มองมาด้วยใบหน้าเรียบเฉยด้วยนัยน์ตาสีแดงข้างเดียว

บาดแผลที่ฝากไว้ด้วยมือของเขาเอง

สเลนไม่อยากจะเห็นใบหน้านั่น แต่เขาข่มใจไม่แสดงอาการใดๆ ออกไปและทำตัวให้ปกติมากที่สุดขณะทำความเคารพองค์หญิง

“สเลน เพิ่งเสร็จงานเหรอคะ”

“ครับ ขอโทษที่มารบกวนครับ ผมไม่ทราบว่าองค์หญิงมีแขก”

“ไม่ใช่เรื่องต้องขอโทษหรอกค่ะ”  เด็กสาวขยับยิ้มอ่อนโยน  “ฉันเชิญพวกคุณอินาโฮะขึ้นมาทานอาหารด้วยกันค่ะ”

“เหรอครับ งั้นผม. ..”

“สเลนอยู่นี่เถอะค่ะ ฉันอยากจะแนะนำให้รู้จักทุกคน” เด็กหนุ่มขานรับ และยืนแข็งอยู่ตรงนั้นโดยไม่มีท่าทีจะขยับหากอัสเซลัมไม่เรียกให้เขาเข้าไปนั่ง

“วันนี้เป็นยังไงบ้างครับ”

“รู้สึกปวดตัวอยู่บ้างค่ะ แต่ได้เอเดลริซโซ่ช่วยนวดให้ก็ดีขึ้นบ้าง”

“อ๊ะ คุณอินาโฮะจำสเลนได้ไหมคะ คนที่ไปเยี่ยมคุณแทนฉันเมื่อหลายเดือนก่อน”

อินาโฮะมองสำรวจอีกฝ่ายอย่างเงียบๆ เขาจดจำใบหน้านั่นได้แม่นยำอาจจะยิ่งกว่าใคร เด็กหนุ่มผู้ดูมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขา เส้นผมสีบลอนด์ทองหยักศกกับนัยน์ตาสีฟ้าอมเขียวมีแววโศกอยู่เสมอ แต่ครั้งล่าสุดที่เจอกันนั้นอีกฝ่ายยังสวมชุดนายทหารสีน้ำเงินอยู่ มาบัดนี้กลับเป็นชุดสีเทาเข้มคาดว่าคงจะได้เลื่อนตำแหน่งอะไรสักอย่าง

หลายเดือนก่อนตอนที่กำลังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล คนๆ นี้ก็โผล่มาพร้อมดอกไม้เยี่ยมไข้ เขาเคยคิดว่าหลังจากหายดีแล้วจะออกตามหาตัว ตอนนั้นก็ไม่นึกเหมือนกันว่าจะได้เจอกันเร็วนัก…

แล้วการพบกันในครั้งนั้นก็…

อินาโฮะหยุดความคิดตัวเองไว้ นัยน์ตาสีแดงมองสบตาแว่บหนึ่ง “ครับ จำได้”

“จริงสินะ เหมือนเคยเห็นมาอยู่พักนึง..” อิงโกะทำท่านึก

“สเลนเป็นเพื่อนสนิทชาวโลกที่ฉันเคยพูดถึงค่ะ”  คำบอกเล่าของอัสเซลัมทำให้พวกอินาโฮะเบิกตากว้างอย่างตกใจที่บนเวิร์สมีชาวโลกอยู่ด้วย

“งั้นเหรอ นายเป็นชาวโลกเหรอเนี่ย” คาล์มถามอย่างประหลาดใจ

“แยกไม่ออกเลยแฮะ”

“แหม ชาวดาวอังคารก็ลักษณะเหมือนชาวโลกอยู่แล้วนี่จ้ะ”  ยูกิหันไปบอกน้องๆ

ครั้งนี้อินาโฮะมองสเลนอย่างไม่วางตา เขาจำได้ทันทีว่าอัสเซลัมเคยพูดถึงอีกฝ่ายเอาไว้ เจ้าของสร้อยคอที่เธอเคยพกติดตัวไว้ตลอดอยู่นี่เอง

“สเลนมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เด็กค่ะ คอยเล่าเรื่องบนโลกในฉันฟังมากมาย มาอยู่บนเวิร์สคนเดียวคงเหงา ถ้าพวกคุณเป็นเพื่อนกันก็คงดีนะคะ สเลนจะได้ไม่เหงา”

“องค์หญิงครับ !” สเลนร้องขึ้นมาอย่างตกใจไม่นึกว่าอัสเซลัมจะพูดแบบนี้ออกมา

“สเลนเองก็คงคิดถึงโลกบ้างเหมือนกันใช่มั้ยล่ะคะ” คำถามที่ส่งกลับมาทำให้เด็กหนุ่มพูดไม่ออก เขาไม่รู้ว่าองค์หญิงคิดอะไรอยู่… ท่ามกลางสงครามเย็นที่ดำเนินมาอย่างยาวนานระหว่างเวิร์สและโลก จวบจนวันที่มันประทุออกเพราะการลอบสังหารองค์รัชทายาท ผู้คนบาดเจ็บล้มตาย ยิ่งกว่านั้น กับเด็กหนุ่มคนนี้ที่เป็นคนลั่นไกกับมือ

พวกเขาจะเป็นเพื่อนกันได้ยังไง

“เรื่องนั้น …”

“จริงสิ!”  อัสเซลัมเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ เธอหันมามองเขาด้วยแววตาเปล่งประกาย “สเลนลงไปเที่ยวโลกบ้างดีไหมคะ”

สเลนระงับความไม่สบายใจเอาไว้ก่อนเอ่ยปัดอย่างสุภาพ “ตอนนี้สิ่งที่ผมต้องทำมีเพียงเรื่องเดียวคือดูแลองค์หญิงครับ”

“หน้าที่ดูแลองค์หญิงเป็นของฉันค่ะ ท่านสเลนไม่ต้องลำบากหรอก” เอเดลริซโซ่เอ่ยสวนขึ้นมาอย่างสุภาพ

อัสเซลัมเพียงยิ้ม “หลายเดือนมานี้สเลนไม่ได้พักเลยนะต้องคอยดูแลฉัน ถ้าลงไปพักผ่อนให้หายเหนื่อยบ้างฉันจะดีใจมากเลยล่ะค่ะ”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมไม่ได้เหนื่อยขนาดนั้น”

“แต่ดูผอมลงไปนะคะ” อัสเซลัมตั้งข้อสังเกต

สเลนไม่สามารถปฏิเสธเรื่องนี้ได้ ตั้งแต่ได้เลื่อนตำแหน่งหน้าที่ความรับผิดชอบของเขาก็เยอะขึ้นตาม การที่มนุษย์โลกอย่างเขาอยู่ๆ ก็ได้พลังอัลโนอาห์มาทำให้เกิดคำถามมากมาย ความชิงชังที่คนรอบข้างมีก็ยิ่งทวีขึ้น แม้ตอนนี้จะได้มาเป็นอัศวินที่ขึ้นตรงต่อองค์หญิง แต่ก็แรงกดดันก็ไม่ได้ลดน้อยลง ความเครียดทำให้น้ำหนักของเขาลดฮวบ สเลนรู้ตัวเองดี แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคอยเจียดเวลามาหาองค์หญิงทุกวัน แค่ได้เห็นหน้าก็ยังดีเพราะเธอเป็นกำลังใจเดียวของเขา

แต่การโดนไล่ต้อนขณะอยู่ต่อหน้าแขกแบบนี้มันคืออะไร…

“ผมว่าเราเอาเรื่องนี้ไว้คุยกันทีหลังเถอะครับ มีแขกอยู่ด้วย”  สเลนหาทางออกที่ดีที่สุด อัสเซลัมคงยอมแพ้ที่จะคุยเรื่องนี้แต่โดยดี เขายังสามารถยื้อเวลาได้ ทว่าทุกอย่างกลับผิดคาดเมื่อองค์หญิงปฏิเสธออกมา

“ไม่ค่ะ”  นัยน์ตาสีฟ้าอมเขียวเงยมองนัยน์ตาสีเขียวของผู้สูงศักดิ์กว่าซึ่งสบมาอย่างมุ่งมั่นด้วยความไม่เข้าใจ ครู่ต่อมาอัสเซลัมก็คลี่ยิ้มอ่อนหวาน “ฉันตัดสินใจแล้วว่าสเลนควรจะพักผ่อนบ้างค่ะ ถ้าไม่คุยตอนนี้สเลนก็ต้องหนีแน่ๆ”

“คุณอินาโฮะคะ ถ้าไม่รบกวนมากไปนัก ตอนที่สเลนไปอยู่ที่โลกก็ช่วยดูแลด้วยนะคะ”

“อะ องค์..”

“ได้สิครับ”

“เอ๊ะ?” เสียงตอบรับเรียบเฉยของอินาโฮะทำให้สเลนหันไปมองอย่างไม่อยากเชื่อหู เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลไม่แสดงสีหน้าใดๆ ซ้ำยังไม่มองหน้าเขาด้วยราวกับไม่คิดจะถามความสมัครใจของเขาบ้างเลย

ขนาดเพื่อนๆ ของอินาโฮะยังหน้าเหวอ ทุกคนขยับตัวมองหน้ากันเลิ่กลั่ก

“นาโอะคุง!?”

“ดีจังเลยค่ะ ถ้าเป็นคุณอินาโฮะฉันก็หมดห่วง” องค์หญิงเอามือกุมอกอย่างโล่งใจด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

เขามองรอยยิ้มนั่นด้วยความรู้สึกหลากหลาย ตั้งแต่กลับมา สเลนได้รับรู้ความจริงจากปากองค์หญิงว่าพวกอินาโฮะช่วยเหลือปกป้องเธออยู่เสมอ ตอนนี้เห็นได้ชัดกว่าเธอไว้ใจอินาโฮะเต็มร้อย คิดแล้วสเลนรู้สึกหน่วงในอก แม้อินาโฮะจะช่วยเหลืออัสเซลัมมากขนาดไหน แต่เขาไม่ไว้ใจคนคนนี้เลยสักนิดเดียว

ไม่เคยไว้ใจ

ภายใต้ใบหน้าที่นิ่งเฉยจนดูไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่นั่น ไม่รู้ว่าวางแผนอะไรเอาไว้

เขาไม่อยากจะเห็นมันด้วยซ้ำ…

ระหว่างที่ทุกคนกำลังสับสนงุนงง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น “องค์หญิงครับ อาหารเย็นพร้อมแล้วครับ”

อัสเซลัมพยักหน้าให้เด็กรับใช้เป็นการรับรู้ ก่อนหันไปยังกลุ่มอินาโฮะ

“ไปทานข้าวกันเถอะค่ะ สเลนช่วยพาพวกคุณอินาโฮะไปที่ห้องอาหารทีนะคะ ฉันจะตามไปทีหลัง”

“เข้าใจแล้วครับ” สเลนรับคำอย่างว่าง่าย

เด็กหนุ่มยืนขึ้นทำความเคารพองค์หญิงก่อนผายมือเชิญพวกเขาให้ตามไป

เมื่อต้องมาอยู่กับคนแปลกหน้าเพียงลำพัง ซ้ำยังเป็นคนละฝ่าย บรรยากาศที่โรยรอบตัวก็ชวนให้อึดอัด สเลนเพียงเดินนำพวกเขาไปโดยไม่คิดจะพูดอะไร ซึ่งมันสร้างความกดดันให้เหล่าคณะผู้มาเยือนอย่างมาก ยกเว้นอินาโฮะคนเดียวที่ทนบรรยากาศนั้นได้

“ทรอยยาร์ดคุงมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอ” ดูเหมือนยูกิที่ดูจะเป็นมิตรมากที่สุดเริ่มหาเรื่องชวนคุย

“เรียกสเลนก็ได้ครับ เอ๋…อืม ตั้งแต่อายุสิบเอ็ดน่ะครับ จนตอนนี้ก็ห้าปีแล้ว”

“เห…” อิงโกะลากเสียงรับเริ่มอยากรู้ขึ้นมาบ้าง “แล้วนายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”

คนถูกถามเงียบไปเล็กน้อย ด้วยความไม่ไว้ใจทำให้สเลนกำลังสงสัยว่าคนพวกนี้ต้องการอะไรจากเขาหรือเปล่า แต่ในเมื่อข้อมูลของตัวเขาไม่ได้สลักสำคัญเท่าใดนักถึงยอมเอ่ยปากตอบ

“พ่อผมทำงานอยู่ที่นี่น่ะครับ ก็เลยได้มาด้วย …”

“ทำงานเหรอ? เป็นทหาร?”  คาล์มสันนิษฐานดู

“พ่อผมเป็นนักวิจัยพลังอัลโนอาห์ครับ แต่ท่านก็เสียไปแล้วล่ะ”

ทุกคนดูจะนิ่งอึ้งไป พวกเขาพากันเงียบแต่สเลนไม่ได้สนใจจะหันไปมอง เมื่อถึงห้องอาหารเขาก็เปิดประตูและเชิญทุกคนเข้าไป

“แล้วสเลนคุงไม่อยู่ทานด้วยกันเหรอ”

“ไม่ดีกว่าครับ ผมยังมีงานที่ต้องเตรียมอยู่”  นัยน์ตาสีฟ้าอมเขียวเหลือบมองอินาโฮะที่จ้องมาแว่บหนึ่งแล้วเบือนหนี หันไปยิ้มให้ยูกิแทน “ทานข้าวให้อร่อยนะครับ”

เมื่อทหารหนุ่มเดินจากไปแล้ว อิงโกะก็หันมาสะกิดอินาโฮะอย่างคาดคั้น

“นี่นายพูดจริงเหรอ เรื่องที่จะรับดูแลเขาน่ะ”

“จริงสิ” เด็กหนุ่มรับด้วยใบหน้าเรียบเฉย

“นายคิดอะไรอยู่น่ะ” คาล์มกอดอกมองอย่างไม่เข้าใจ เขาเป็นเพื่อนกับหมอนี่มาตั้งนาน ไม่เคยจะเดาใจอีกฝ่ายได้เลยสักที ครั้งนี้ก็อีกแล้ว

ยูกิมองน้องชายด้วยแววตาจริงจัง “ก็จริงอยู่ที่สเลนคุงดูเป็นคนดี เป็นคนที่องค์หญิงไว้ใจ แถมยังเป็นชาวโลกด้วย แต่ก็เป็นทหารอยู่ฝ่ายเวิร์ส …เอาจริงเหรอนาโอะคุง”

“คงไม่รบกวนพี่ยูกินะครับ”

พี่สาวถอนหายใจออกมาพร้อมกับยิ้มเอ็นดู รู้ว่ายังไงคงเปลี่ยนความตั้งใจน้องชายไม่ได้ “ให้ตายสิเด็กคนนี้ทำอะไรตามใจตัวเองอีกแล้ว”

“ขอโทษครับ” ยูกิชะงัก

“ไป เข้าไปนั่งกันเถอะ”

พวกเขาทยอยเดินเข้าห้องอาหารไป มีเพียงอินาโฮะที่ยังยืนอยู่ที่เดิม สายตามองไปตามทางเดินโดยที่ไม่มีใครรู้ว่าคิดอะไรอยู่

ในคราแรกที่พบ เขาคลางแคลงใจ และตัดสินว่าอีกฝ่ายคือศัตรู

ในครั้งต่อมา คนที่เหนี่ยวไกใส่เขาเองกับมือกลับเป็นคนที่ช่วยชีวิตเขาเอาไว้

และครั้งนี้ กลับพบว่าชายคนนี้เป็นชาวโลกคนสนิทของอัสเซลัมที่อยู่บนดาวอังคาร

อินาโฮะคิดไตร่ตรองอย่างเงียบๆ นัยน์ตาสีแดงจ้องมองไปยังแผ่นหลังของคนที่ดูสูงกว่าเล็กน้อย ทว่ากลับดูเดียวดายและอ่อนแรงเหลือเกิน

จริงๆ แล้วเขาไม่ใช่คนชอบด่วนสรุปอะไรง่ายๆ แม้แต่ในตอนที่ขับคาตาฟรักซ์ออกไปสู้กับหุ่นรบของเวิร์สก็ยังใจเย็น คอยมองหาช่องโหว่ของระบบศัตรูและคิดหาวิธีตอบโต้อย่างรอบคอบจนได้รับชัยชนะมา แต่ทว่าภายหลังจากที่ได้ร่วมกันสู้กับค้างคาวในครั้งนั้นเขากลับจำต้องเล็งยิงอีกฝ่ายตกน้ำไปอย่างไม่ลังเล เพราะในตอนนั้นเขาคิดเพียงแต่ว่าจะต้องปกป้องอัสเซลัมไว้ให้ได้

ทว่า เหมือนโชคชะตาจะเล่นตลก

คราที่เขาเป็นฝ่ายเหนี่ยวไก อีกฝ่ายกลับมีชีวิตรอด

คราที่อีกฝ่ายตั้งใจจะฆ่า เขากลับมายืนอยู่ตรงนี้

จะตายก็ไม่ตาย ซ้ำยังได้วนกลับมาเจอกัน ราวกับเป็นชะตากรรม

อัสเซลัมบอกว่าสเลนเป็นเพื่อนคนสำคัญ

แต่สำหรับพวกเขาคงไม่ใช่แบบนั้น เพราะมีหนี้แค้นต่อกันไม่น้อย

แต่ว่า…คราวนี้เขาจะลองดูอีกครั้ง ตัดสินให้ได้ว่าควรจะวางสเลน ทรอยยาร์ดในฐานะมิตรหรือศัตรูกันแน่

.

.

.

TBC(?)

——————————————————————

Talk

สวัสดีปีใหม่ค่ะ กลับมาพบกันอีกแล้ว (…) จริงๆ ควรอัพบล็อคเกี่ยวกับวันปีใหม่สิ…. เอาไว้วันหลังละกันนะ ถถถถถถถถถ (อย่างนี้ก็ได้เหรอ..)

นั่งคุ้ยๆ อะไรไปเรื่อยเปื่อย แล้วเจอฟิคที่เขียนทิ้งไว้หลังจบซีซั่น 1 ค่ะ เนื่องจากตอนนั้นยังไม่รู้ว่ามีตัวเลมริน่าเพิ่มมาอีก ก็เลยพากันเข้าใจว่าองค์หญิงต้องพิการไปเลยแน่ๆ… เลยเกิดเป็นฟิคนี้ขึ้นมา ก็เป็นฟิคต่อจากซีซั่น 1 นั่นเอง ซึ่งพอซีซั่น 2 ฉาย ปรากฎว่า … อ้าวว หักหลังกันนี่หว่า 555555+

ฟิคเรื่องนี้จึงถูกพับเก็บไป จนดูซีซั่น 2 จบ ก็เกิด Heart Prisoner ขึ้นมาค่ะ แล้วก็ลากยาว เลยไม่ได้จัดการอะไรกับเรื่องนี้ต่อเลย เพราะงั้นคอนเซ็ปเลยยังกลวงๆ จนตอนนี้ก็ยังไม่มีแนวคิดจะเขียนต่อ (อ้าว 5555555555+) เก็บไว้คนเดียวเราออกจะเสียดาย เลยเอามาลงไว้เป็นที่ระลึกค่ะ กลัวเครื่องบึ้มแล้วจะสูญสลาย อย่าโกรธกันเลยนะ เหนื่อยมากจริงๆ ;___;

4 thoughts on “[A/Z Fic] Are you my…? : 1 [Inaho x Slaine]

  1. fayro01 says:

    อยากอ่านตอนต่อจังเลยค่ะ ถ้าไปที่โลก
    แบบนี้สเลนจะได้ไปนอนที่บ้านไคซึกะสินะ

Leave a comment